19.12.20 Morning
Thai Murli Om Shanti BapDada Madhuban
สาระ:
ลูกๆ ที่แสนหวาน ลูกได้ทำสัญญานี้แล้ว: เมื่อท่านมา เราจะอุทิศตนเองต่อท่าน
เวลานี้พ่อได้มาเพื่อเตือนถึงสัญญาของลูก
คำถาม:
เนื่องด้วยคุณสมบัติหลักใดของเหล่าเทพที่พวกเขาเท่านั้นถูกเรียกว่าเป็นผู้ที่มีค่าควรแก่การกราบไหว้บูชา?
คำตอบ:
เพียงเหล่าเทพเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพิเศษของการไม่จดจำใคร
พวกเขาไม่ได้จดจำพ่อและพวกเขาไม่ได้จดจำภาพลักษณ์ของผู้อื่น
เหตุนี้เองพวกเขาจึงถูกเรียกว่าเป็นผู้ที่มีค่าควรแก่การกราบไหว้บูชา
ที่นั่นไม่มีสิ่งใดนอกจากความสุข เหตุนี้เองพวกเขาจึงไม่จำเป็นที่จะจดจำใคร
ด้วยการจดจำพ่อผู้เดียวในเวลานี้
ลูกจะกลับมาบริสุทธิ์อย่างมากและมีค่าควรแก่การกราบไหว้บูชาที่ลูกนั้นไม่จำเป็นต้องจดจำใครในภายหลัง
โอมชานติ
ลูกๆ ทางจิตที่สุดแสนหวาน ลูกไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นดวงวิญญาณทางจิตวิญญาณ
(spiritual souls) จิตวิญญาณ(spirit)หรือดวงวิญญาณ(soul) คือสิ่งเดียวกัน
พ่อทางจิตอธิบายแก่ลูกๆ ทางจิต ก่อนหน้านี้พ่อสูงสุด
ดวงวิญญาณสูงสุดไม่เคยให้ความรู้แก่ดวงวิญญาณ พ่อท่านเองพูดว่า:
พ่อมาเพียงครั้งเดียวเท่านั้นในวงจรในยุคแห่งการบรรจบพบกันที่สูงส่งที่สุด
ไม่มีใครอื่นสามารถพูดเช่นนี้
พ่อไม่เคยมาในเวลาอื่นใดนอกเหนือจากยุคแห่งการบรรจบพบกันของวงจร
พ่อมาในยุคแห่งการบรรจบพบกันเท่านั้นเมื่อความเลื่อมใสศรัทธาได้มาถึงจุดจบ
พ่อนั่งที่นี่และให้ความรู้นี้แก่ลูกๆ: คิดว่าตนเองเป็นดวงวิญญาณและจดจำพ่อ
สิ่งนี้ยากอย่างยิ่งสำหรับลูกบางคน
สิ่งนี้ง่ายดายอย่างยิ่งแต่ไม่ได้เข้าไปอยู่ในสติปัญญาของพวกเขาอย่างดีมาก
เหตุนี้เองบาบาจึงอธิบายแก่พวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้แต่เมื่อมีการอธิบายแก่พวกเขาแล้ว พวกเขายังคงไม่เข้าใจอะไรเลย
ในโรงเรียนนักเรียนบางคนก็สอบตกทั้งที่ครูได้สอนมาเป็นเวลาถึง 12 เดือน
พ่อที่ไม่มีขีดจำกัดก็สอนลูกทุกวันด้วยเช่นกัน
กระนั้นก็มีเพียงลูกบางคนเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้ ในขณะที่ผู้อื่นลืม
สิ่งหลักที่ได้มีการอธิบายแก่ลูกคือ: คิดว่าตนเองเป็นดวงวิญญาณและจดจำพ่อ พ่อพูดว่า:
จดจำพ่อผู้เดียวเท่านั้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่มีมนุษย์อื่นใดสามารถพูดสิ่งนี้ได้
พ่อพูดว่า: พ่อมาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น พ่อมาและอธิบายแก่ลูกๆ เท่านั้น
หลังจากหนึ่งวงจรในยุคแห่งการบรรจบพบกัน เพียงลูกเท่านั้นที่รับความรู้นี้
ไม่มีใครอื่นได้รับความรู้นี้
เพียงสิ่งสร้างที่เกิดจากปากของประชาบิดาบราห์มาเท่านั้นเข้าใจความรู้นี้
ลูกรู้ว่าพ่อเคยสอนความรู้นี้แก่ลูกในวงจรที่แล้วในยุคแห่งการบรรจบพบกัน เพียงลูกๆ
บราห์มินเท่านั้นมีบทบาทนี้ แน่นอนที่ลูกต้องผ่านวรรณะเหล่านี้ ผู้คนของศาสนาอื่นๆ
ไม่ได้ผ่านวรรณะเหล่านี้ เพียงผู้คนของบารัตเท่านั้นที่ผ่านวรรณะเหล่านี้
เพียงบราห์มินเท่านั้นที่กลายเป็นผู้อาศัยของบารัต เหตุนี้เองพ่อจึงต้องมาในบารัต
ลูกๆ บราห์มินคือสิ่งสร้างที่เกิดจากปากของประชาบิดาบราห์มา
หลังจากบราห์มินลูกก็กลายเป็นเทพและแล้วก็เป็นนักรบ ไม่มีใครถูกทำให้เป็นนักรบ
ลูกถูกทำให้เป็นบราห์มินและแล้วลูกก็กลายเป็นเทพ
เมื่อองศาของเหล่าเทพเดียวกันนั้นได้ลดลงไป พวกเขาก็ถูกเรียกว่านักรบ
พวกเขากลายเป็นนักรบโดยอัตโนมัติ พ่อมาและทำให้ลูกเป็นบราห์มิน
และแล้วลูกกลายเป็นเทพจากบราห์มินและเทพเดียวกันนั้นก็กลายเป็นนักรบ
เพียงในเวลานี้เท่านั้นที่พ่อผู้เดียวได้ก่อตั้งทั้งสามศาสนา
ไม่ใช่ว่าท่านมาอีกครั้งในยุคทองและยุคเงิน เพราะผู้คนไม่รู้สิ่งนี้
พวกเขาจึงพูดว่าท่านก็มาในยุคทองและยุคเงินด้วยเช่นกัน พ่อพูดว่า:
พ่อไม่ได้มาในทุกยุค พ่อมาเพียงครั้งเดียวในวงจรในยุคแห่งการบรรจบพบกัน
เป็นพ่อที่ทำให้ลูกเป็นบราห์มินด้วยประชาบิดาบราห์มา พ่อมาจากอาณาเขตสูงสุด อัจชะ
และแล้วบราห์มานั้นมาจากที่ใด? บราห์มาใช้ 84 ชาติเกิด พ่อไม่ได้ใช้ 84 ชาติเกิด
บราห์มาและสรัสวตีกลายเป็นวิษณุ ผู้ที่รูปคู่ของเขาคือลักษมีและนารายณ์ เขาใช้ 84
ชาติเกิด และแล้วในตอนสิ้นสุดของหลายต่อหลายชาติเกิดของเขา
พ่อเข้ามาในเขาและทำให้เขาเป็นบราห์มา พ่อตั้งชื่อเขาว่าบราห์มา
ชื่อของผู้นี้ไม่ได้ถูกตั้งขึ้นมาโดยตัวเขา หกวันหลังจากเด็กถือกำเนิด
พวกเขาได้มีพิธีตั้งชื่อตามดวงชะตาของเขา พวกเขาฉลองวันเกิด
ชื่อตามดวงชะตาของผู้นี้คือเลคราช นี่คือชื่อของเขาตั้งแต่เกิด
เมื่อพ่อได้เข้ามาในเขาในยุคแห่งการบรรจบพบกันชื่อของเขาก็ถูกเปลี่ยน
ท่านเปลี่ยนชื่อของผู้นี้เมื่อเขาอยู่ในสภาพของการปลดเกษียณ
ชื่อของซันยาสซีเปลี่ยนไปเมื่อพวกเขาทิ้งบ้านของเขาและจากไป ผู้นี้อาศัยอยู่ที่บ้าน
พ่อตั้งชื่อเขาว่าบราห์มา เพราะบราห์มินนั้นเป็นที่ต้องการ
พ่อทำให้ลูกเป็นของพ่อและทำให้ลูกกลายเป็นบราห์มินที่บริสุทธิ์
ลูกถูกทำให้บริสุทธิ์ ไม่ใช่ว่าลูกบริสุทธิ์มาตั้งแต่เกิด
ลูกได้รับคำสอนที่จะกลับมาบริสุทธิ์ สิ่งหลักคือจะกลับมาบริสุทธิ์ได้อย่างไร
ลูกรู้ว่าไม่มีแม้เพียงคนเดียวในหนทางความเลื่อมใสศรัทธาจะสามารถเป็นผู้ที่มีค่าควรแก่การกราบไหว้บูชา
ผู้คนก้มลงเบื้องหน้ากูรู ฯลฯ เพราะพวกเขาได้ละทิ้งบ้านของพวกเขาและกลับมาบริสุทธิ์
อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถกล่าวว่า พวกเขาเป็นผู้ที่มีค่าควรแก่การกราบไหว้บูชา
ผู้ที่มีค่าควรแก่การกราบไหว้บูชาไม่จดจำใคร ซันยาสซีจดจำธาตุบราห์มและสวดมนต์ภาวนา
ผู้คนในยุคทองไม่ได้จดจำใคร พ่อพูดว่า: เวลานี้ลูกต้องจดจำผู้เดียว
นั่นคือความเลื่อมใสศรัทธา ลูกๆ เป็นดวงวิญญาณแฝงตัว
ไม่มีใครรู้จักดวงวิญญาณอย่างถูกต้อง ในยุคทองและยุคเงินเช่นกัน
ผู้ที่มีร่างกายเล่นบทบาทของเขาด้วยชื่อของเขา นักแสดงไม่สามารถอยู่โดยที่ไม่มีชื่อ
ไม่ว่าลูกอยู่ที่ใดก็ตาม แน่นอนลูกได้รับชื่อที่ให้แก่ร่างกาย
ลูกจะสามารถเล่นบทบาทของลูกได้อย่างไรโดยที่ไม่มีชื่อ? พ่อได้อธิบายแก่ลูกว่า:
ในหนทางความเลื่อมใสศรัทธาลูกเคยร้องเพลง:
เมื่อท่านมาฉันจะทำให้ท่านเป็นของฉันและไม่มีใครอื่นเป็นของฉัน
ฉันจะเป็นของท่านเท่านั้น ดวงวิญญาณพูดเช่นนี้
พวกเราจะไม่กราบไหว้บูชาผู้ที่มีร่างกายใดๆ
ผู้ที่ได้รับชื่อในหนทางความเลื่อมใสศรัทธา เมื่อท่านมาพวกเราจะอุทิศตนเองต่อท่าน!
ลูกไม่รู้แม้กระทั่งว่าเมื่อไรที่พ่อจะมา
ผู้คนเฝ้าแต่กราบไหว้บูชาผู้ที่มีร่างที่มีชื่อต่างๆมากมาย
พ่อมาหลังจากครึ่งที่สองของวงจร เมื่อความเลื่อมใสศรัทธามาถึงจุดจบ พ่อพูดว่า:
ลูกเคยพูดเป็นเวลาชาติแล้วชาติเล่าว่า: ลูกจะไม่จดจำใครนอกจากพ่อ
ลูกไม่แม้กระทั่งจดจำร่างของลูกเอง อย่างไรก็ตามลูกไม่แม้กระทั่งรู้จักพ่อ
ดังนั้นลูกจะจดจำพ่อได้อย่างไร? เวลานี้พ่อนั่งที่นี่และอธิบายแก่ลูก: ลูกๆ
ที่สุดแสนหวาน คิดว่าตนเองเป็นดวงวิญญาณและจดจำพ่อ
พ่อผู้เดียวเท่านั้นคือผู้ชำระให้บริสุทธิ์ ด้วยการจดจำพ่อ
ลูกจะกลับมาบริสุทธิ์และสะโตประธาน ไม่มีความเลื่อมใสศรัทธาในยุคทองและยุคเงิน
ลูกไม่ได้จดจำใคร ไม่ได้จดจำพ่อและไม่ได้จดจำภาพลักษณ์ใดๆ
ที่นั่นไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากความสุข พ่ออธิบายว่า:
ยิ่งลูกเข้ามาใกล้มากเพียงไรลูกจะเข้าใกล้สภาพอยู่เหนือบ่วงกรรมของลูกเท่านั้น
ในยุคทองมีความสุขอย่างมากในการเป็นผู้มีชีวิตอยู่ในโลกใหม่และในบ้านใหม่
และแล้วเมื่อสิ่งนั้นได้เก่าลงไป 25% ราวกับว่าลูกได้ลืมสวรรค์ ดังนั้นพ่อพูดว่า:
ลูกเคยร้องเพลงว่า “เราจะเป็นของพ่อเท่านั้นและเราจะรับฟังพ่อเท่านั้น”
ดวงวิญญาณอ้างอิงถึงพ่อว่าเป็นดวงวิญญาณสูงสุด
ดวงวิญญาณเป็นจุดที่เล็กและละเอียดอ่อน
สายตาที่สูงส่งเป็นที่ต้องการเพื่อจะมองเห็นดวงวิญญาณ
ลูกไม่สามารถที่จะจดจ่อที่ดวงวิญญาณได้
ต้องใช้ความเพียรพยายามที่คิดว่าตนเองเป็นจุดที่เล็กอย่างยิ่ง ดวงวิญญาณ และจดจำพ่อ
ผู้คนไม่ได้พยายามที่ได้นิมิตของดวงวิญญาณ
พวกเขาพยายามที่จะได้นิมิตของดวงวิญญาณสูงสุดเพราะพวกเขาเคยได้ยินว่าท่านสว่างไสวยิ่งกว่าพระอาทิตย์พันดวง
เมื่อใครบางคนได้นิมิตเขาพูดว่าสิ่งนั้นสว่างไสวอย่างยิ่งเพราะนั่นคือสิ่งที่เขาเคยได้ยินมา
ไม่ว่าผู้คนจะกราบไหว้บูชาใครก็ตามอย่างจริงจัง นั่นคือผู้ที่พวกเขาจะได้นิมิต
มิเช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถมีศรัทธา พ่อพูดว่า: หากพวกเขาไม่เคยเห็นดวงวิญญาณ
พวกเขาจะสามารถเห็นดวงวิญญาณสูงสุดได้อย่างไร?
พวกเขาจะแม้กระทั่งเห็นดวงวิญญาณได้อย่างไร? มนุษย์มีภาพลักษณ์ของร่างกาย
พวกเขามีชื่อ แต่ดวงวิญญาณเป็นเพียงจุด จุดที่เล็กมาก
จะสามารถเห็นสิ่งนั้นได้อย่างไร? แม้ว่าพวกเขาจะพยายามอย่างมาก
ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นดวงวิญญาณด้วยดวงตาคู่นี้ ลูกๆ
ดวงวิญญาณได้รับดวงตาที่ละเอียดของความรู้ เวลานี้ลูกเข้าใจว่าลูกๆ
ดวงวิญญาณนั้นเล็กเพียงไร ฉันดวงวิญญาณมีบทบาทของ 84
ชาติเกิดถูกบันทึกไว้ในฉันซึ่งทำให้ฉันต้องซ้ำรอย
ลูกได้รับศรีมัทของพ่อเพื่อที่จะทำให้ลูกสูงส่ง ดังนั้นลูกต้องทำตามสิ่งนั้น
ลูกต้องสร้างสมคุณธรรมที่สูงส่ง อาหารและเครื่องดื่มของลูกต้องสูงศักดิ์
พฤติกรรมของลูกต้องสูงศักดิ์อย่างยิ่งเพราะลูกกำลังจะกลายเป็นเทพ
เหล่าเทพมีค่าควรแก่การกราบไหว้บูชา พวกเขาไม่เคยกราบไหว้บูชาใคร
พวกเขามีมงกุฏสองชั้น พวกเขาไม่เคยกราบไหว้บูชาผู้ใด
ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นผู้มีค่าควรแก่การกราบไหว้บูชา
ไม่มีความจำเป็นที่จะกราบไหว้บูชาใครในยุคทอง
แต่แน่นอนที่พวกเขาให้ความนับถือต่อกันและกัน
การก้มลงให้แก่ใครบางคนหมายถึงการให้ความนับถือ
ไม่ใช่ว่าลูกต้องมีใครไว้ในหัวใจของลูก ต้องมีการให้ความนับถือ
ยกตัวอย่างทุกคนให้ความนับถือต่อประธานาธิบดี เพราะพวกเขารู้ว่าเขามีตำแหน่งที่สูง
ลูกไม่ต้องก้มลงให้แก่ใคร ดังนั้นพ่ออธิบายว่า:
หนทางของความรู้นี้เป็นสิ่งที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง
ที่นี่ลูกเพียงแค่ต้องคิดว่าตนเองเป็นดวงวิญญาณ ลูกได้ลืมสิ่งนี้ไปแล้ว
ลูกจดจำชื่อของร่างกาย ทุกสิ่งจะต้องมีการทำด้วยชื่อ
ลูกจะเรียกใครโดยที่ไม่มีชื่อได้อย่างไร?
แม้ว่าลูกคือผู้มีร่างกายที่กำลังเล่นบทบาทของลูก
ลูกต้องมีชีพบาบาไว้ในสติปัญญาของลูก
ผู้เลื่อมใสศรัทธาของกฤษณะเชื่อว่าพวกเขาต้องจดจำกฤษณะเท่านั้น พวกเขาพูดว่า
ที่ใดก็ตามที่พวกเขามองไป พวกเขาจะเห็นกฤษณะเท่านั้น พวกเขาเชื่อว่า:
ฉันคือกฤษณะและท่านคือกฤษณะ โอ แต่ชื่อของลูกแตกต่างต่างไปจากชื่อของเขา
ดังนั้นทุกคนจะเป็นกฤษณะได้อย่างไร? ไม่ใช่ชื่อของทุกคนจะสามารถเป็นกฤษณะ
พวกเขาพูดสิ่งใดก็ตามที่เข้าไปสู่จิตใจของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง เวลานี้พ่อพูดว่า:
ลืมภาพลักษณ์ทั้งหมดของหนทางความเลื่อมใสศรัทธาและจดจำพ่อผู้เดียว
ลูกไม่เรียกภาพลักษณ์เหล่านั้นว่าเป็นผู้ชำระให้บริสุทธิ์
หนุมานและคนอื่นไม่ใช่ผู้ชำระให้บริสุทธิ์ มีภาพลักษณ์มากมายแต่ไม่มีภาพลักษณ์ใดๆ
ที่เป็นผู้ชำระให้บริสุทธิ์
ไม่มีเทพเจ้าใดผู้ที่มีร่างกายจะเป็นผู้ชำระให้บริสุทธิ์ได้
ผู้คนใช้สติปัญญาของพวกเขาเองสร้างภาพลักษณ์ของเทพเจ้าที่มีหกถึงแปดมือ
พวกเขาไม่รู้ว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นใคร พวกเขาคือลูกๆ
ผู้เป็นผู้ช่วยของพ่อผู้ชำระให้บริสุทธิ์ ไม่มีใครรู้สิ่งนี้ รูปภายนอกของลูกธรรมดา
ร่างกายเหล่านั้นจะถูกทำลาย ไม่ใช่ว่าภาพลักษณ์ของลูก ฯลฯ จะหลงเหลืออยู่
ทั้งหมดจะจบสิ้น ในความเป็นจริงลูกคือเทพเจ้า ชื่อที่ได้มีการกล่าวไว้คือ: เทวีสีดา
เทวีนั้นนี้ พวกเขาไม่เคยพูดว่า “เทพราม” พวกเขาพูดว่า “เทวีหรือศรีมาตินั้นนี้”
อย่างไรก็ตามนั้นเป็นสิ่งผิดด้วย
เวลานี้ลูกต้องทำความเพียรพยายามที่จะกลับมาบริสุทธิ์ ลูกพูดว่า:
โปรดมาและทำให้พวกเราบริสุทธิ์จากไม่บริสุทธิ์เถิด! ลูกไม่ได้พูดว่า:
ทำให้พวกเรากลายเป็นลักษมีและนารายณ์เถิด!
เพียงพ่อเท่านั้นที่เปลี่ยนลูกจากผู้ที่ไม่บริสุทธิ์และชำระลูกให้บริสุทธิ์
เพียงท่านเท่านั้นที่เปลี่ยนลูกจากมนุษย์ธรรมดาให้กลายเป็นนารายณ์
ผู้คนเรียกผู้เดียวที่ไม่มีตัวตนว่าผู้ชำระให้บริสุทธิ์
พวกเขาได้แสดงว่าใครบางคนอื่นเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวของนารายณ์ที่แท้จริง
พวกเขาไม่ได้พูดว่า: บาบา
โปรดบอกพวกเราถึงเรื่องราวของนารายณ์ที่แท้จริงและทำให้พวกเราเป็นอมตะเถิด! หรือ:
ทำให้พวกเรากลายเป็นนารายณ์จากมนุษย์ธรรมดาเถิด! พวกเขาเพียงแค่พูดว่า:
โปรดมาและชำระพวกเราให้บริสุทธิ์เถิด
เพียงบาบาเท่านั้นที่บอกเรื่องราวของนารายณ์ที่แท้จริงแก่ลูกและชำระลูกให้บริสุทธิ์
และแล้วลูกก็ถ่ายทอดเรื่องราวที่แท้จริงแก่ผู้อื่น ไม่มีใครสามารถรู้สิ่งนี้
เพียงลูกเท่านั้นที่รู้สิ่งนี้ แม้ว่าลูกมีเพื่อนฝูงญาติมิตรและพี่น้องฯลฯ ที่บ้าน
พวกเขายังคงไม่เข้าใจ อัจชะ
ถึงลูกๆ ที่สุดแสนหวาน ผู้เป็นที่รักยิ่ง ที่จากหายไปนาน เวลานี้ได้พบพานอีกครั้ง
รัก ระลึกถึง และสวัสดีตอนเช้า จากแม่ พ่อ
บัพดาดา พ่อทางจิตพูดนมัสเตกับลูกๆ ทางจิต
สาระสำหรับการสร้างสมเพื่อการเป็นตัวของความรู้ คุณธรรม และการจดจำระลึกถึง:
1. ในการที่จะทำให้ตนเองสูงส่ง จงทำตามศรีมัทที่ลูกได้รับมาจากพ่อ
และสร้างสมคุณธรรมที่สูงส่ง อาหารและเครื่องดื่ม
และพฤติกรรมของลูกนั้นต้องสูงศักดิ์อย่างยิ่ง
2. อย่าได้จดจำกันและกัน แต่แน่นอนจงให้ความเคารพ
จงทำความเพียรพยายามที่จะกลับมาบริสุทธิ์ และดลใจผู้อื่นให้ทำเช่นเดียวกัน
พร:
ขอให้ลูกเป็นดวงวิญญาณผู้ที่มีโชคของความสุขและผู้ที่สัมผัสกับความสุข
โดยการใช้สมบัติทั้งหมดของลูกในเวลาที่เหมาะสม
ทันทีที่ลูกเกิดในชาติเกิดบราห์มินของลูก
ลูกได้รับสมบัติแห่งความสุขมากมายจากบัพดาดาตลอดทั้งวัน เหตุนี้เอง
แม้กระทั่งวันนี้ ผู้เลื่อมใสศรัทธาสัมผัสความสุขชั่วคราวเพียงแต่ได้ยินชื่อของลูก
เมื่อพวกเขาเห็นภาพที่ไม่มีชีวิตของลูก พวกเขาก็เริ่มร่ายรำในความสุข
ในทำนองเดียวกัน ลูกทุกคนมีโชคแห่งความสุขเพราะลูกได้รับสมบัติมากมาย
เวลานี้เพียงแต่ใช้สิ่งเหล่านั้นในเวลาที่เหมาะสม
เก็บกุญแจเหล่านี้ไว้ตรงหน้าลูกเสมอ นั่นคือ
เก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ในการตระหนักรู้ของลูกเสมอ
และนำการตระหนักรู้นั้นไปสู่รูปในทางปฏิบัติและลูกจะสัมผัสกับความสุขต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ
คติพจน์:
ผู้ที่จุดตะเกียงแห่งความหวังอันสูงส่งของพ่อคือตะเกียง (deepake) ของสกุล