25.10.20 Avyakt Bapdada Thai Murli
09.04.86 Om Shanti Madhuban
ข้อบ่งชี้ของผู้รับใช้ที่แท้จริง
วันนี้
ดวงอาทิตย์แห่งความรู้และดวงจันทร์แห่งความรู้กำลังมองดูดวงดาวทั้งหมดของหมู่ดาวแห่งโลกนี้
ดวงดาวทั้งหมดกำลังเปล่งประกายและส่องแสงและประกายระยิบระยังของพวกเขา
มีความหลากหลายท่ามกลางหมู่ดาว:
บ้างก็เป็นดวงดาวแห่งความรู้พิเศษบ้างก็เป็นดวงดาวโยคีที่ง่ายดาย
บ้างก็เป็นดวงดาวที่เป็นภาพลักษณ์พิเศษของการให้ทานแห่งคุณธรรม
บ้างก็เป็นดวงดาวที่เป็นผู้รับใช้อย่างสม่ำเสมอ
บ้างก็เป็นดวงดาวที่มีความสมบูรณ์พร้อมอย่างสม่ำเสมอ
อย่างไรก็ตามดวงดาวที่สูงส่งที่สุดคือดวงดาวที่มีความสำเร็จในทุกวินาที
พร้อมกับดวงดาวเหล่านี้ยังมีบางส่วนที่เป็นเพียงดวงดาวแห่งความหวัง
ในด้านหนึ่งมีดวงดาวแห่งความหวัง และอีกด้านหนึ่งมีดวงดาวแห่งความสำเร็จ
มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างทั้งสองนี้
แต่อิทธิพลของดวงดาวแต่ละประเภทก็จะมีผลต่อดวงวิญญาณของโลกและต่อวัตถุธาตุด้วยเช่นกัน
ดวงดาวแห่งความสำเร็จมีอิทธิพลต่อทุกคนด้วยความจริงจังและกระตือรือร้นของพวกเขา
บางครั้งดวงดาวแห่งความหวังก็มีประสบการณ์ของความรักและบางครั้งก็ลำบากตรากตรำ
ดังนั้นเนื่องจากพวกเขาอยู่ภายใต้อิทธิของทั้งสองนี้พวกเขาจึงใช้อิทธิพลเหล่านี้กับผู้อื่นในขณะที่พวกเขาเคลื่อนไปข้างหน้า
อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังคงเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง
ดังนั้นลูกแต่ละคนสามารถถามตัวเองว่า “ฉันเป็นดวงดาวประเภทใด?”
ดวงดาวทั้งหมดมีความรู้ โยคะ คุณธรรม และความรู้สึกของการรับใช้
แต่บางคนก็มีประกายของความรู้เป็นพิเศษ บางคนมีประกายของการจดจำระลึกถึงและโยคะ
และบางคนก็ดึงดูดผู้อื่นโดยเฉพาะเป็นพิเศษโดยการเป็นภาพลักษณ์ของคุณธรรมทั้งหมด
แม้ว่าจะมีการซึมซับทั้งสี่ประเด็นนี้
แต่ก็ยังมีความแตกต่างในเปอร์เซ็นต์ของการซึมซับนั้น
ด้วยเหตุนี้จึงมีความหลากหลายที่มองเห็นได้ในดวงดาวที่เปล่งประกาย
นี่เป็นหมู่ดาวทางจิตที่พิเศษไม่เหมือนใคร
อิทธิพลของลูกในฐานะที่เป็นดวงดาวทางจิตมีอิทธิพลต่อโลก
เช่นเดียวกับดวงดาวทางกายภาพที่มีอิทธิพลต่อโลก
ยิ่งลูกดวงดาวมีพลังในตัวลูกเองมากเท่าไหร่
ลูกก็จะยิ่งมีอิทธิพลต่อดวงวิญญาณในโลกมากเท่านั้น
และสิ่งนี้จะยังคงเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ยิ่งมีความมืดรอบๆบริเวณนั้นมากเท่าไหร่
ก็จะยิ่งมองเห็นประกายของดวงดาวได้ชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้นยิ่งความมืดของการขาดการบรรลุผลเพิ่มขึ้นและก็ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆมากเท่าไหร่
พวกเขาก็ยิ่งจะได้รับประสบการณ์ของอิทธิพลพิเศษของลูกดวงดาวทางจิตมากเท่านั้น
ทุกคนจะสามารถมองเห็นลูกในรูปของดวงดาวที่เปล่งประกายของโลก
ในรูปที่เป็นจุดแห่งแสงของลูก ในรูปที่เป็นร่างแสงหรือเทวดานางฟ้า
เช่นเดียวกับที่พวกเขาใช้เวลา
พลังงานและเงินของพวกเขาในการทำการวิจัยค้นคว้าเกี่ยวกับดวงดาวบนท้องฟ้า
เมื่อพวกเขามองเห็นลูกดวงดาวทางจิต พวกเขาก็จะประหลาดใจ
เช่นที่พวกเขาเฝ้าดูหมู่ดาวบนท้องฟ้าในขณะนี้
ในทำนองเดียวกันพวกเขาจะเฝ้าดูหมู่ดาวของโลกนี้
ประกายของเทวดานางฟ้าและความงามของดวงดาวที่กำลังเปล่งประกาย
พวกเขาจะได้สัมผัสกับสิ่งนี้และถามว่า “พวกเขาเป็นใคร?” “พวกเขามาจากไหนที่แสดงเวทย์มนต์หรือความมหัศจรรย์ของพวกเขา?”
ในตอนเริ่มต้นของการก่อตั้ง
ผู้คนในทุกหนแห่งมีคลื่นของประสบการณ์เกี่ยวกับนิมิตของบราห์มาและกฤษณะ “นี่คือใคร?”
“ฉันกำลังเห็นอะไร?”
ความสนใจของผู้คนจำนวนมากได้ถูกดึงดูดให้พยายามทำความเข้าใจสิ่งนั้น
ในทำนองเดียวกัน ตอนนี้ในเวลาสุดท้ายทุกที่ในโลก ด้วยประกายของรูปทั้งสอง (แสงและเทวดานางฟ้า)
พวกเขาจะได้รับนิมิตของบัพดาดาและลูกๆ
จากที่หนึ่งมันจะกระจายไปสู่คนจำนวนมากและความสนใจของทุกคนจะถูกดึงมาที่นี่
ฉากที่สูงส่งนี้กำลังรอให้ลูก ทั้งหมดกลับมาสมบูรณ์พร้อม
เมื่อลูกสัมผัสกับสภาพที่เป็นเทวดานางฟ้านี้ได้อย่างง่ายดายและโดยอัตโนมัติแล้วจะมีนิมิตของเทวดานางฟ้าอย่างแท้จริง
ปีนี้จึงได้ถูกให้เป็นพิเศษเพื่อให้ลูกสามารถสร้างสภาพที่เป็นเทวดานางฟ้า
ลูกบางคนกำลังคิดว่า "เราจะต้องฝึกแค่การจดจำระลึกถึงเท่านั้นหรือจะต้องทำงานรับใช้ด้วยหรือไม่?
หรือเราจะหลุดพ้นจากการทำงานรับใช้และเพียงแค่นั่งในตาปาเซีย? "บัพดาดา
กำลังบอกลูกถึงความหมายที่แท้จริงของงานรับใช้
ความรู้สึกของงานรับใช้หมายถึงการมีความปรารถนาดีต่อทุกดวงวิญญาณอย่างสม่ำเสมอ
การมีความรู้สึกถึงความปรารถนาอันบริสุทธิ์ที่สูงส่งที่สุดความรู้สึกที่จะรับใช้หมายถึงการให้ผลแก่ทุกดวงวิญญาณตามความรู้สึกของตนเองและไม่ต้องมีความรู้สึกที่มีขีดจำกัดใดๆ
แต่จะมีความรู้สึกที่สูงส่งที่สุด
หากใครก็ตามมีความรู้สึกต้องการความรักทางจิตจากลูกหรือความรู้สึกต้องการความร่วมมือหรือพลังใด
ๆ
หรือความสุขหรือความจริงจังและความกระตือรือร้นหรือความรู้สึกของการได้รับพลังทั้งหมดแล้วการรับใช้หมายถึงการให้ผลของความรู้สึกที่หลากหลายเหล่านั้นแก่พวกเขา
นั่นคือการสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาด้วยความร่วมมือของลูกเพื่อสัมผัสประสบการณ์กับสิ่งนั้น
นี่คือความหมายของความรู้สึกของงานรับใช้ที่แท้จริงเพียงแค่กล่าวสุนทรพจน์หรืออธิบายต่อกลุ่ม
หรือให้หลักสูตรให้บทเรียนแก่ใครบางคนหรือเปิดศูนย์ไม่ได้หมายความว่าจะมีความรู้สึกของงานรับใช้งานทำงานรับใช้หมายถึงการรับใช้ดวงวิญญาณในลักษณะที่พวกเขาได้รับประสบการณ์ของการบรรลุผลบางอย่าง
เมื่องานรับใช้เสร็จสิ้นด้วยวิธีนี้ก็จะมีตาปาเซียภายในสิ่งนั้นเช่นกัน
ลูกเคยได้ยินนัยสำคัญของตาปาเซียมาแล้วนั่นคือการทำงานด้วยความมุ่งมั่น
ที่ใดมีความรู้สึกที่ถูกต้องของงานรับใช้
ความรู้สึกของตาปาเซียจะไม่แยกออกจากสิ่งเหล่านั้น
ที่ใดมีรูปที่รวมกันของการสละละทิ้ง,ตาปาเซียและงานรับใช้
นั่นคืองานรับใช้ที่แท้จริง หากมีงานรับใช้แล้วไม่มีการสละละทิ้งและตาปาเซีย
มันก็เป็นงานรับใช้ในนามเท่านั้นและผลของก็เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น
งานรับใช้เสร็จสิ้นอิทธิพลของผลชั่วคราวจะถูกเก็บเกี่ยวและจบสิ้นที่นั่น
อิทธิพลของการบรรลุผลชั่วคราวคือการสรรเสริญชั่วคราว พวกเขาจะพูดว่า "เป็นการบรรยายที่ดีมาก;
คุณสอนหลักสูตรได้ดีมาก คุณทำงานรับใช้ได้ดีมาก"
ดังนั้นเมื่อมีคนพูดถึงคุณงามความดีก็จะได้รับผลเพียงชั่วคราว
คนที่พูดก็ได้รับผลชั่วคราวเช่นกัน
อย่างไรก็ตามการให้ประสบการณ์หมายถึงการทำให้พวกเขาสามารถสร้างความสัมพันธ์กับพ่อและทำให้พวกเขามีพลัง
นี่คือการรับใช้ที่แท้จริง หากไม่มีการสละละทิ้งและตาปาเซียในงานรับใช้ที่แท้จริง
มันก็ไม่ใช่งานรับใช้แม้กระทั่ง 50% แต่เป็นงานรับใช้แค่ 25 %
สิ่งชี้บอกของผู้รับใช้ที่แท้จริงคือการสละละทิ้ง นั่นคือความถ่อมตนและตาปาเซีย
นั่นคือความมุ่งมั่นที่จะมีศรัทธาและความซาบซึ้งในพ่อผู้เดียว
นี่คือสิ่งที่หมายถึงงานรับใช้ที่ถูกต้อง
บัพดาดาขอให้ลูกกลายเป็นผู้รับใช้ที่แท้จริงอย่างสม่ำเสมอ
หากในนามของงานรับใช้ลูกถูกรบกวนหรือลูกรบกวนผู้อื่นแล้วบัพดาดาขอให้ลูกปลดปล่อยตนเองจากงานรับใช้ประเภทนั้น
ในกรณีนี้จะเป็นการดีกว่าที่จะไม่ทำงานรับใช้ประเภทนั้นเพราะคุณธรรมพิเศษที่สัมผัสจากงานรับใช้คือความพอใจ
ที่ใดไม่มีความพอใจไม่ว่าจะกับตนเองหรือกับผู้ที่ลูกติดต่อด้วย
งานรับใช้นั้นจะไม่ทำให้ลูกเกิดผลและจะไม่ปล่อยให้ผู้อื่นบรรลุผลเช่นกัน
ดังนั้นก่อนอื่นเพียงแค่ทำให้ตนเองเป็นเพชรพลอยแห่งความพอใจแล้วทำงานรับใช้
มิฉะนั้นจะต้องมีภาระที่ละเอียดอ่อนอย่างแน่นอน
ภาระหลายประเภทกลายเป็นอุปสรรคต่อสภาพที่โบยบิน ลูกไม่ต้องการเพิ่มภาระ
แต่ต้องการขจัดภาระนั้นออกไป
เมื่อลูกมีจิตสำนึกเช่นนี้การอยู่อย่างสันโดษจะดีกว่าเพราะการอยู่อย่างสันโดษลูกจะใส่ใจกับการเปลี่ยนแปลงตนเอง
ตาปาเซียที่บัพดาดาพูดถึงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการนั่งตาปาเซียทั้งกลางวันและกลางคืน
แต่การนั่งตาปาเซียก็เป็นการทำงานรับใช้เช่นกัน
แต่ลูกต้องเป็นประภาคารแห่งแสงและบ้านแห่งพลังและกระจายลำแสงแห่งความสงบ
ลำแสงแห่งพลังและสร้างบรรยากาศเช่นนี้ นอกจากตาปาเซียแล้วยังมีงานรับใช้ด้วยจิตใจ
มันไม่ได้แยกจากกัน มิฉะนั้นลูกจะทำตาปาเซียแบบไหน? ลูกเป็นดวงวิญญาณที่สูงส่งแล้ว
ดวงวิญญาณบราห์มิน
แต่ตาปาเซียหมายถึงการเต็มไปด้วยพลังทั้งหมดและด้วยสภาพที่มุ่งมั่นและความคิดที่มุ่งมั่นของลูกที่จะรับใช้โลก
งานรับใช้ด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียวไม่ใช่งานรับใช้ เช่นเดียวกับที่ความสุข,ความสงบและความบริสุทธิ์มีความสัมพันธ์กัน
ในทำนองเดียวกันการสละละทิ้ง,ตาปาเซียและงานรับใช้ล้วนเกี่ยวข้องกันทั้งสิ้น
บัพดาดาขอให้ลูกกลายเป็นรูปของตาปาเซียนั่นคือกลายเป็นรูปของผู้รับใช้ที่ทรงพลัง
ดริชตีของคนที่เป็นตัวของตาปาเซียก็จะทำงานรับใช้เช่นกัน
ใบหน้าของคนที่เป็นตัวของความสงบก็จะทำงานรับใช้เช่นกัน
เพียงแค่ได้เห็นใครบางคนแวบเดียวที่เป็นภาพลักษณ์ของตาปาเซียก็จะให้ประสบการณ์ของการบรรลุผล
ดูสิว่าทุกวันนี้ฝูงชนจำนวนมากมารวมตัวกันเพื่อได้เห็นคนที่ทำตาปาเซียที่มีขีดจำกัดเพียงแวบเดียว
นั่นคืออนุสรณ์ของอิทธิพลของตาปาเซียของลูกซึ่งดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงตอนนี้และจนถึงเวลาสุดท้าย
ลูกเข้าใจความหมายของความรู้สึกในงานรับใช้หรือไม่?
ความรู้สึกของงานรับใช้หมายถึงความรู้สึกที่ลูกสามารถหลอมความอ่อนแอทั้งหมดของผู้อื่น
ไม่ได้หมายถึงความรู้สึกต่อต้านความอ่อนแอของผู้อื่น
แต่หมายถึงความรู้สึกของการหลอมรวม
เพื่อให้ลูกมีความอดทนและมีความรู้สึกต้องการที่จะให้พลังกับผู้อื่น
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงใช้คำว่า "พลังแห่งความอดทน"
ความอดทนหมายถึงการเติมพลังให้ตนเองและให้พลังแก่ผู้อื่น
ความอดทนไม่ได้หมายความว่าจะตาย บางคนคิดว่าโดยการอดทนพวกเขาจะตาย พวกเขาพูดว่า "ฉันต้องตายหรือไม่?"
อย่างไรก็ตามนั่นยังไม่ตาย เป็นวิธีที่จะอยู่ในหัวใจของทุกคนด้วยความรัก
ไม่ว่าจะมีการต่อต้านมากแค่ไหน -
พวกเขาอาจจะแข็งแกร่งกว่าราวันและลูกอาจต้องอดทนไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ถึงสิบครั้ง
-
ผลที่ได้จากความอดทนนั้นคงอยู่ตลอดไปเป็นนิรันดร์และหอมหวานเพราะพวกเขาจะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน
อย่าได้รู้สึกว่า "ฉันต้องอดทนเป็นอย่างมากดังนั้นพวกเขาควรจะทำบางสิ่งเพื่อเป็นการตอบแทนด้วย"
อย่าได้มีความรู้สึกถึงผลชั่วคราว จงมีความรู้สึกเมตตา
นี่คือสิ่งที่หมายถึงความรู้สึกของงานรับใช้
ดังนั้นในปีนี้จงให้ข้อพิสูจน์ของการทำงานรับใช้ที่แท้จริงและใช้โอกาสทองในการเข้ามาในรายชื่อผู้ที่ได้ให้ข้อพิสูจน์ของสิ่งนั้น
ในปีนี้บาบาจะไม่เห็นว่าลูกมีเมล่าที่ดี (งานออกร้านทางจิต) หรือการดำเนินงานที่ดี
แต่ลูกต้องได้อันดับต้นๆในงานรับใช้ของการเป็นเพชรพลอยแห่งความพอใจและให้ความพอใจแก่ผู้อื่น
ได้รับรางวัลในพิธีแห่งชัยชนะในสมญาของ "ผู้ทำลายอุปสรรค" ลูกเข้าใจไหม?
นี่คือสภาพที่อธิบายว่า "เป็นผู้ทำลายความผูกพันยึดมั่นและเป็นตัวของการจดจำระลึกถึง"
ดังนั้นเวลานี้แสดงรูปแบบพิเศษของการกลับมาสมบูรณ์พร้อมของการบรรลุข้อสรุปในปีที่
18 นี้ โดยการเป็นตัวของบทที่ 18 นั้น นี่คือสภาพที่อธิบายว่า "เป็นเหมือนพ่อ"
อัจชะ
ถึงดวงดาวทางจิตที่เปล่งประกายตลอดเวลา
ถึงเพชรพลอยแห่งความพอใจที่กระจายคลื่นแห่งความพอใจ
ถึงดวงวิญญาณที่ทรงพลังที่มีอิทธิพลต่อผู้อื่นด้วยการสละละทิ้ง,ตาปาเซียและงานรับใช้ไปพร้อมๆกันอย่างสม่ำเสมอ
ถึงผู้ที่ให้ผลทางจิตและความรู้สึกทางจิตให้กับทุกดวงวิญญาณอย่างสม่ำเสมอ
ถึงลูกที่สูงส่งแต่ละคนซึ่งเป็นเมล็ดเช่นเดียวกับพ่อ ด้วยความรัก ความระลึกถึง
และนมัสเต จากบัพดาดา สำหรับการกลับมาสมบูรณ์พร้อม
อะแวค บัพดาดา
พบปะพี่น้องจากโซนปันจาป และ ฮาริยานา:
ลูกสัมผัสกับตนเองอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นดวงวิญญาณที่ไม่ไหวหวั่นสั่นคลอนหรือไม่?
การอยู่อย่างมั่นคงในสถานการณ์ใดๆที่ปั่นป่วนเป็นสิ่งชี้บอกของการเป็นดวงวิญญาณบราห์มินที่สูงส่ง
โลกอยู่ในความปั่นป่วน
แต่ลูกดวงวิญญาณที่สูงส่งจะไม่สามารถเข้ามาสู่ความปั่นป่วนได้ เพราะเหตุใด?
ลูกรู้ทุกฉากของละคร
ดวงวิญญาณที่เต็มไปด้วยความรู้และทรงพลังอยู่ตลอดเวลาและโดยอัตโนมัติจะไม่หวั่นไหว
ดังนั้นบรรยากาศไม่เคยทำให้ลูกกลัว ลูกปราศจากความกลัว ชัคตีปราศจากความกลัวหรือไม่?
หรือลูกมีความกลัวเล็กน้อย? เพราะลูกรู้ว่าแม้กระทั่งก่อนช่วงเวลาของการก่อตั้ง,สงครามกลางเมืองนั้นกำลังจะเกิดขึ้นในบารัต
มันก็ปรากฏในภาพของลูกตั้งแต่เริ่มต้น
ดังนั้นอะไรก็ตามที่แสดงให้เห็นนั้นก็จะเกิดขึ้นใช่ไหม?
บทบาทของบารัตนั้นคือกำลังมีสงครามกลางเมือง ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีอะไรใหม่
ดังนั้นมันไม่มีอะไรใหม่ใช่ไหม,หรือลูกกลัว? "เกิดอะไรขึ้น?" "มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?”
“สิ่งนี้เกิดขึ้น…”
หน้าที่ของพวกลูกทุกคนในขณะที่ฟังและดูข่าวคือการมีพลังและดูละครที่กำหนดไว้แล้วล่วงหน้าและให้พลังแก่ผู้อื่น
ผู้คนในโลกต่างก็หวาดกลัวในขณะที่ลูกเติมพลังให้กับวิญญาณเหล่านั้น
ลูกต้องให้พลังกับใครก็ตามที่มีการติดต่อกับลูกอย่างต่อเนื่อง
ให้ทานความสงบสุขให้กับพวกเขาต่อไป
ในช่วงเวลาแห่งความไม่สงบนี้เป็นเวลาที่จะให้ความสงบ
ดังนั้นลูกคือผู้นำสารแห่งความสงบ "ผู้นำสารแห่งความสงบ"
ได้รับการจดจำดังนั้นไม่ว่าลูกจะอยู่ที่ใดจงเดินหน้าต่อไปโดยพิจารณาว่าตนเองเป็นผู้นำสารแห่งความสงบของลูก
ลูกเป็นผู้นำสารแห่งความสงบผู้ที่ให้สารแห่งความสงบ
ดังนั้นหากตัวลูกเองเป็นตัวแทนของความสงบและมีพลัง
ลูกก็จะเฝ้าแต่ให้สิ่งนั้นแก่ผู้อื่นต่อไป
พวกเขาให้ความไม่สงบแก่ลูกและลูกให้ความสงบแก่พวกเขา พวกเขาก่อให้เกิดไฟไหม้
และลูกก็ราดน้ำลงบนไฟ นี่คืองานของลูกใช่ไหม?
สิ่งนี้เรียกว่าการเป็นผู้รับใช้ที่แท้จริง
ดังนั้นในช่วงเวลาเช่นนั้นจำเป็นต้องมีงานรับใช้ประเภทนี้ ร่างกายสูญสลายง่าย
แต่ดวงวิญญาณมีพลังดังนั้น
แม้ว่าลูกจะละร่างกายไปแล้วแต่รางวัลแห่งการจดจำระลึกถึงก็จะยังคงดำเนินต่อไปในร่างถัดไป
ดังนั้นจงดลบันดาลใจให้ผู้อื่นได้มาซึ่งการบรรลุผลอย่างถาวรต่อไป แล้วลูกเป็นใคร?
ผู้นำสารแห่งความสงบ
ผู้นำสารแห่งความสงบคือนายผู้ให้ทานแห่งความสงบและเป็นนายผู้ให้ทานพลัง
ลูกพยายามที่จะรักษาความตระหนักรู้นี้ไว้อย่างสม่ำเสมอหรือไม่?
จงทำให้ตนเองก้าวไปข้างหน้าด้วยความตระหนักรู้นี้อยู่เสมอและทำให้ผู้อื่นก้าวไปข้างหน้านี่คือการทำงานรับใช้
ไม่ว่ารัฐบาลจะมีกฎหมายใดลูกต้องปฏิบัติตาม
แต่ลูกสามารถรับใช้ต่อไปได้อย่างแน่นอนด้วยความคิดและคำพูดของลูก
เมื่อใดก็ตามที่ลูกมีเวลาเพียงเล็กน้อย
ตอนนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำงานรับใช้ด้วยจิตใจ
แต่เมื่อลูกเติมพลังให้กับตนเองแล้วเท่านั้นที่ลูกจะสามารถมอบสิ่งนั้นให้กับผู้อื่นได้
ดังนั้นลูก ๆ ของผู้ประทานแห่งความสงบ จงกลายเป็นผู้ประทานความสงบ
ลูกต้องเป็นผู้ประทานพร้อมกับเป็นผู้ที่ชี้หนทางที่จะกลายเป็นผู้ประทาน
ในขณะที่ลูกเคลื่อนย้ายไปรอบ ๆ โปรดจำไว้ว่า: ฉันเป็นนายผู้ประทานความสงบ
เป็นนายผู้ประทานพลัง ด้วยสำนึกรู้นี้จงให้กระแสจิตแก่ทุกดวงวิญญาณ
แล้วเมื่อนั้นพวกเขาจะตระหนักว่าพวกเขาสามารถสัมผัสกับความสงบสุขได้โดยการเข้ามาติดต่อกับลูก
ดังนั้นจงระลึกถึงพรที่ลูกต้องเป็นผู้นายผู้ประทานความสงบและพลัง
ลูกทุกคนกล้าหาญใช่ไหม?
อย่าให้มีความคิดที่ไร้ประโยชน์ใดๆแม้จะอยู่ในความปั่นป่วนเพราะความคิดที่ไร้ประโยชน์จะไม่ยอมให้ลูกมีพลัง
"จะเกิดอะไรขึ้น", "สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นใช่ไหม?" มันไร้ประโยชน์
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจงดูในสภาพที่ทรงพลังและให้พลังแก่ผู้อื่น “ฉากข้างทาง”เหล่านั้นก็จะมาด้วยเช่นกัน
นั่นคือ“ตามพล็อต”ที่กำลังเกิดขึ้น ดูในขณะที่พิจารณาว่ามันเป็นไป “ตามพล็อต”
แล้วลูกจะไม่กลัว อัจชะ
ในช่วงเวลาแห่งการอำลา (ในเวลาอมฤต)
ยุคบรรจบพบกันนี้คือเวลาอมฤต เนื่องจากทั้งยุคบรรจบพบกันคือเวลาอมฤต
ความยิ่งใหญ่ของเวลานี้จึงได้รับการจดจำไว้ตลอดกาลดังนั้นทั้งยุคบรรจบพบกันนั่นคือ
เวลาอมฤตหมายถึง ไดม่อน มอร์นิ่ง (ในตอนเช้าที่มีความเป็นเพชร)
พ่ออยู่กับลูกๆเสมอและลูกๆก็อยู่กับพ่อและเป็นเช่นนั้นไดม่อน
มอร์นิ่งที่ไม่มีขีดจำกัด บัพดาดา มักจะพูดคำนี้เสมอ
แต่ในแง่ของการอยู่ในรูปที่มีตัวตนในโลกทางกายภาพ
แม้กระทั่งวันนี้บัพดาดาก็จะให้ลูกๆทุกคนไม่ว่าลูกจะเรียกสิ่งนี้ว่า "กู๊ด มอร์นิ่ง",
"โกลเด้น มอร์นิ่ง" หรือ "ไดม่อน มอร์นิ่ง"
ลูกทุกคนคือเพชรและตอนเช้าก็คือเพชรเช่นกัน
เป็นการทำให้ลูกเป็นเพชรมากยิ่งขึ้นและกู๊ดมอร์นิ่งสวัสดีตอนเช้าที่ได้อยู่กับพ่อเสมอ
อัจชะ
พร:
ขอให้ลูกเป็นผู้เอาชนะมายาและเป็นนายของตนเองและทำให้วัตถุธาตุทั้งห้าและกิเลสทั้งห้าเป็นผู้รับใช้ของลูก
ในยุคทองเหล่าสาวใช้ถือขบวนเครื่องแต่งกายของราชวงศ์ของจักรพรรดิโลกและจักรพรรดินีโลก
ในทำนองเดียวกันในยุคบรรจบพบกันลูกจะต้องประดับประดาด้วยการแต่งกายของสมญาผู้เอาชนะมายาและเป็นนายของตนเอง
วัตถุธาตุทั้งห้าและกิเลสทั้งห้าก็จะถือชุดของลูกจากด้านหลัง
นั่นคือพวกมันจะเคลื่อนไปในขณะที่อยู่ใต้การยอมที่จะรับใช้ต่อลูก
สำหรับนี้ให้รัดเครื่องแต่งกายของสมญาของลูกให้แน่นด้วยเข็มขัดแห่งความมุ่งมั่น
ตกแต่งด้วยชุดของเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับที่แตกต่างกันและอยู่กับพ่อ
กิเลสและวัตถุธาตุเหล่านั้นจะถูกเปลี่ยนไปและกลายเป็นมิตรที่ให้ความร่วมมือของลูก
คติพจน์:
หลุดหายไปในประสบการณ์ของคุณธรรมและพลังที่ลูกพูดถึง
ประสบการณ์คืออำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด