12.04.20 Avyakt Bapdada Thai Murli
23.12.85 Om Shanti Madhuban
ผู้ที่เอาชนะตัณหาราคะ คือผู้ที่อยู่เหนือความปรารถนาที่มีขีดจำกัดทั้งหมด
บัพดาดากำลังมองดูโลกเล็กๆที่มีความสุขและสูงส่งของท่าน
ด้านหนึ่งมีโลกที่ไร้รสชาติที่ใหญ่มาก อีกด้านหนึ่งมีโลกเล็กและมีความสุข
ในโลกแห่งความสุขนี้ เป็นดวงวิญญาณบราห์มินผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขและความสงบ
เพราะชีวิตที่บริสุทธิ์และสะอาดนี้เป็นพื้นฐานของชีวิตที่มีความสุขและสงบสุข
ที่ใดมีความบริสุทธิ์และความสะอาด
ก็ไม่สามารถที่จะมีชื่อหรือร่องรอยของความทุกข์หรือความไม่สงบใดๆได้
โลกเล็กๆที่มีความสุขนี้อยู่ในป้อมปราการของความบริสุทธิ์
ถ้าลูกก้าวออกไปข้างนอกจากป้อมปราการของความบริสุทธิ์แม้กระทั่งในความคิดของลูก
ลูกก็จะมีสัมผัสกับอิทธิพลของความทุกข์และความไม่สงบ
ถ้าเท้าของสติปัญญาของลูกอยู่ในป้อมปราการนี้จะไม่สามารถมีคลื่นของความทุกข์หรือความไม่สงบใดๆแม้กระทั่งในความฝันของลูก
อย่าว่าแต่ในความคิดของลูกเลย หากมีประสบการณ์ของความทุกข์หรือความไม่สงบแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าจะต้องมีอิทธิพลของความไม่บริสุทธิ์ประเภทใดประเภทหนึ่ง
ความบริสุทธิ์ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การเป็นผู้ที่เอาชนะตัณหาราคะและเป็นผู้เอาชนะโลก
เพราะความปรารถนาที่มีขีดจำกัดทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสิ่งสร้างของกิเลสของตัณหาราคะ
การเป็นผู้ที่เอาชนะตัณหาราคะ หมายถึงการได้รับชัยชนะเหนือความปรารถนาทั้งหมด
เพราะความปรารถนาแต่ละอย่างนั้นมีลูกหลานอย่างมาก
หนึ่งคือความปรารถนาในการเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติ
ความปรารถนาที่สองคือการได้รับบางสิ่งที่มีขีดจำกัดจากผู้คน
ประการที่สามความปรารถนาที่มีขีดจำกัดหลายประเภทที่เกิดขึ้นเพื่อเติมเต็มความสัมพันธ์ต่างๆ
ประการที่สี่ที่มีขีดจำกัดเกิดขึ้นภายในความตั้งใจที่จะทำงานรับใช้
การจบสิ้นความปรารถนาทั้งสี่ประเภทนี้
หมายถึงการมีชัยชนะเหนือความทุกข์และความไม่สงบตลอดไป ในขณะนี้จงถามตัวเองว่า:
ฉันได้จบสิ้นความปรารถนาทั้งสี่ประเภทนี้แล้วหรือยัง?
หากมีสิ่งที่สูญสลายใดดึงดูดลูกเข้าไปหาแล้วนั่นคือความผูกพันยึดมั่นในรูปของความปรารถนาอย่างแน่นอน
ลูกเปลี่ยนคำพูดและพูดในลักษณะที่ดูดีว่า: “ฉันไม่ต้องการสิ่งนั้น
แต่ฉันชอบสิ่งนั้น” เมื่อวัตถุหรือบุคคลมีแรงดึงดูดพิเศษสำหรับลูก
เมื่อลูกชอบวัตถุหรือบุคคลนั้น นั่นก็หมายถึงมีความปรารถนา นั่นคือความปรารถนา
เป็นสิ่งที่ถูกต้องเมื่อลูกพูดว่าลูกชอบทุกสิ่งและทุกคน
แต่เป็นสิ่งที่ผิดที่จะพูดว่าลูกชอบแค่บางสิ่งหรือบางคนเป็นพิเศษ
นั่นคือความปรารถนาในรูปที่สูงส่ง
หากลูกชอบงานรับใช้ของใครบางคน การการหล่อเลี้ยงของใครบางคน คุณธรรม
ความเพียรพยายาม การสละละทิ้ง หรือธรรมชาติของใครบางคน การรับกลิ่นหอมของความดีงาม
หรือการดูดซับความดีงามนั้นเข้าไปในตนเองนั่นเป็นเรื่องที่แตกต่าง
จากการคิดว่าลูกชอบคนนั้นโดยเฉพาะเป็นพิเศษเพราะความดีงามของผู้นั้น
นี่เป็นเพราะความดีนั้นเปลี่ยนเป็นความปรารถนา นั่นเป็นความปรารถนา
จากนั้นลูกก็ไม่สามารถเผชิญหน้ากับความทุกข์หรือความไม่สงบได้
สิ่งหนึ่งคือการตัดสิทธิ์ตนเองจากการเป็นคนดีเพราะความดีของคนนั้น
อีกหนึ่งคือความรู้สึกของความเป็นศัตรูที่ดึงลูกให้ตกลงมา
หนึ่งคือความปรารถนาที่จะเป็นที่ประทับใจ
อีกหนึ่งนั้นคือความปรารถนาที่เกิดจากความอิจฉา หรือความขุ่นแค้นต่อใครบางคน
สิ่งเหล่านี้จบสิ้นความสงบและความสุขของลูกเช่นกัน
และแล้วจิตใจของลูกก็ปั่นป่วนอยู่เรื่อยๆ
สิ่งชี้บอกของการมีความประทับใจคือความผูกพันยึดมั่นและการยอมจำนน
ในทำนองเดียวกันสิ่งชี้บอกของการมีความรู้สึกอิจฉาหรือความเป็นศัตรูคือ
การพยายามพิสูจน์ว่าตนเองถูกหรือมีความดื้อดึง
แล้วลูกก็จะไม่ได้ตระหนักว่าเวลาและพลังงานได้สูญเสียไปมากแค่ไหนจากการมีความรู้สึกสองประเภทนี้
ทั้งสองสร้างความสูญเสียอย่างมาก
ทั้งสองทำให้ลูกทุกข์ระทมและยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้อื่นทุกข์ระทม
ในเวลาเช่นนั้นเสียงพูดที่ออกมาจากดวงวิญญาณเช่นนั้นคือ:
ฉันต้องรับและทำให้เกิดความทุกข์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันต้องทำสิ่งนี้
มันเป็นความปรารถนาของพวกเขาที่กำลังพูดอยู่ในเวลานั้น
ไม่ใช่ดวงวิญญาณบราห์มินที่พูดในเวลานั้น
ด้วยเหตุนี้เท้าของสติปัญญาของเขาจึงก้าวออกไปจากโลกแห่งความสุขและความสงบ
ดังนั้นจงกลับมามีชัยชนะเหนือความปรารถนาที่ดูดีเหล่านี้
ไปอยู่เหนือความปรารถนาเหล่านี้และมีสภาพของการไม่รู้แม้แต่ความรู้เกี่ยวกับความปรารถนา
เมื่อลูกมีความคิดเนื่องจากความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลูกจะแสดงสิ่งนี้อย่างแน่นอนด้วยการทำบางสิ่ง แล้วลูกจะแสดงสิ่งนั้นให้ใครเห็น?
พ่อหรือกับครอบครัวบราห์มิน? ลูกจะแสดงให้ใครเห็น?
ในกรณีนั้นแค่พิจารณาว่าสิ่งนั้นไม่ใช่แค่การแสดง
แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความตกต่ำ
นั่นเป็นความมหัศจรรย์ที่ลูกต้องการแสดงให้เห็นหรือไม่?
ลูกจะภาคภูมิใจในการแสดงให้ผู้อื่นเห็นสิ่งที่กำลังจะตกต่ำหรือไม่?
ความซาบซึ้งของการได้มาซึ่งการบรรลุผลที่มีขีดจำกัด:
ฉันจะแสดงให้เห็นด้วยการทำงานรับใช้นี้
ฉันจะแสดงให้เห็นสิ่งนี้ด้วยการประกาศชื่อเสียงเกียรติคุณ:
ตรวจสอบดูว่าคำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดที่ดูดีหรือไม่ ลูกพูดภาษาของสิงโต,
แต่ลูกกลายเป็นเหมือนแกะ ทุกวันนี้ผู้คนใส่หน้ากากเสือ ช้าง ราวัณ หรือราม
ดังนั้นนี่ก็คือมายาเช่นกันที่สวมใส่หน้ากากเสือ “ฉันจะแสดงให้เห็นสิ่งนี้อย่างแน่นอน
ฉันจะทำสิ่งนี้” อย่างไรก็ตาม มายามีอิทธิพลต่อลูกและทำให้ลูกกลายเป็นแกะ
การมีจิตสำนึกของคำว่า “ของฉัน”
หมายถึงการได้รับอิทธิพลจากความปรารถนาที่มีขีดจำกัดอย่างใดอย่างหนึ่ง
การพูดภาษาที่ยุคตียุคต์และมีความรู้สึกที่ยุคตียุคต์ด้วยเช่นกัน นี่ไม่ใช่ความฉลาด
แต่จะเป็นประสบการณ์ของความพ่ายแพ้ในทุกวงจรและกลายเป็นส่วนหนึ่งของจันทรวงศ์แทนที่จะเป็นสุริยวงศ์
และแล้วลูกก็จะต้องเป็นส่วนหนึ่งของจันทรวงศ์ทุกวงจร
ดังนั้นนั่นเป็นความพ่ายแพ้หรือความฉลาด? อย่าได้แสดงความฉลาดเช่นนั้น
อย่ามีความหยิ่งยโส อย่าได้ดูถูกใคร
ความรู้สึกทั้งสองนี้ทำให้ลูกห่างไกลจากความปรารถนาดีและความรู้สึกที่บริสุทธิ์
ดังนั้นจงตรวจสอบดูว่า:
ไม่มีความความหยิ่งยโสหรือความรู้สึกของการดูถูกแม้แต่น้อยใช่ไหม?
ที่ใดที่มีความหยิ่งยโสหรือความรู้สึกของการดูถูก
บุคคลนั้นจะไม่สามารถมั่นคงในสภาพของความเคารพตนเอง
ความเคารพตนเองจะทำให้ลูกก้าวออกไปจากความปรารถนาทั้งหมด
แล้วลูกก็จะเฝ้าแต่แกว่งไกวอยู่ในชิงช้าแห่งความสุขและความสงบในโลกแห่งความสุข
สิ่งนี้เรียกว่าการเป็นผู้มีชัยชนะเหนือความปรารถนาทั้งหมดและเป็นผู้ชนะโลก
ดังนั้นบัพดาดากำลังมองเห็นโลกเล็กๆที่มีความสุข
ทำไมลูกต้องไปจากโลกแห่งความสุขซึ่งเป็นโลกของลูกเองไปสู่ดินแดนต่างประเทศด้วยเท้าของสติปัญญาของลูก?
ศาสนาที่ไม่ใช่ของลูก, ดินแดนที่ไม่ใช่ของลูกจะทำให้ลูกมีความทุกข์เสมอ
ศาสนาดั้งเดิมของของลูกและดินแดนดั้งเดิมของลูกทำให้ลูกมีความสุข
ดังนั้นลูกคือลูกๆของพ่อผู้เป็นมหาสมุทรแห่งความสุข
ลูกเป็นดวงวิญญาณผู้ที่ได้สัมผัสกับโลกแห่งความสุข
ลูกคือดวงวิญญาณผู้ที่มีสิทธิ์และดังนั้นต้องมีความสุขและมีความสงบเสมอ
ลูกเข้าใจไหม?
ลูกๆที่น่ารักทั้งหมดจากแผ่นดินนี้และในต่างแดนได้มาถึงบ้านของพวกเขา
บ้านของพ่อของพวกเขา เพื่อประกาศสิทธิ์ของพวกเขา เมื่อเห็นลูกๆที่มีสิทธิ์
บัพดาดาก็พอใจเช่นกัน เช่นที่ลูกมาที่นี่ด้วยความสุข ในทำนองเดียวกัน
วิธีที่จะคงอยู่อย่างมีความสุขอย่างสม่ำเสมอคือการสละละทิ้งทั้งสองสิ่งนี้แม้กระทั่งในความคิดของลูก
และกลายเป็นผู้ที่มีโชคตลอดเวลา ลูกมาเพื่อประกาศสิทธิ์ในโชคของลูก
แต่พร้อมกับการประกาศสิทธิ์ในโชคของลูก
ลูกจะต้องทิ้งความอ่อนแอของจิตใจที่ขัดขวางสภาพที่โบยบินของลูกไว้ข้างหลัง
การละทิ้งสิ่งนี้หมายถึงการได้รับบางสิ่ง อัจชะ
ถึงผู้ที่อาศัยอยู่ในโลกแห่งความสุขเสมอและผู้ที่เอาชนะความปรารถนาทั้งหมด
ถึงดวงวิญญาณที่สูงส่งที่มีความปรารถนาดีและความรู้สึกที่บริสุทธิ์ต่อดวงวิญญาณทั้งหมดอย่างสม่ำเสมอ
ถึงดวงวิญญาณพิเศษที่อยู่อย่างมั่นคงอยู่บนที่นั่งของความเคารพตนเองอย่างสม่ำเสมอ
ด้วยความรัก การจดจำระลึกถึง และนมัสเตจากบัพดาดา
ทำให้ดินแดนที่แสนขมเป็นดินแดนที่หวานชื่นด้วยความอ่อนหวาน
วันนี้พ่อที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ผู้เป็นปู่ได้มาพบกับลูกหลานที่น่ารักของท่าน
บราห์มาได้รับการจดจำว่าเป็นปู่ทวด
พ่อที่ไม่มีตัวตนทำให้บราห์มาเป็นเครื่องมือสำหรับโลกที่มีตัวตน
เนื่องจากการเป็นผู้สร้างโลกมนุษย์ อนุสรณ์ของโลกมนุษย์จึงถูกแสดงไว้ในรูปของต้นไม้
เมล็ดนั้นแฝงตัว อันดับแรกคือใบสองใบปรากฏออกมาก่อนซึ่งลำต้นก็ปรากฏออกมา
บราห์มากลายเป็นเครื่องมือสำหรับการวางรากฐานของต้นไม้ในรูปของพ่ออดิเทพ
และอดิเทวีแม่ของต้นไม้
ลำต้นบราห์มินปรากฎออกมาจากสิ่งนั้นและกิ่งก้านที่ปรากฏออกมาจากลำต้นบราห์มิน
เหตุนี้เองที่บราห์มาจึงได้รับการจดจำว่าเป็นปู่ทวด การจุติของบราห์มาเกิดขึ้น
นั่นหมายถึงวันที่เลวร้ายสิ้นสุดลง และวันที่ดีเริ่มต้นขึ้น
กลางคืนมาถึงจุดจบและรุ่งอรุณของบราห์มา (มูหูรัต muhurat) เกิดขึ้น
ในความเป็นจริงคือ บราห์มา มูหูรัต แต่พวกเขาพูดว่า "บราห์ม มูหูรัต"
ดังนั้นพวกเขาจึงแสดงบราห์มาในรูปผู้สูงอายุ ปู่,พ่อที่ไม่มีตัวตนมอบของขวัญมากมายให้แก่ลูกหลานซึ่งลูกจะมีชีวิตอยู่ต่อไปกับของขวัญเหล่านั้นเป็นเวลา
21 ชาติเกิด ท่านเป็นผู้ประทาน และเป็นผู้ประทานโชคเช่นกัน
ท่านให้เพชรพลอยแห่งความรู้แก่ลูกมากมายเต็มถาด
ท่านให้ของขวัญทองแห่งพลังในรูปที่หลากหลาย
ท่านให้กล่องที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับแห่งคุณธรรม
ลูกมีกล่องเครื่องประดับกี่กล่อง?
แม้ว่าลูกจะใส่เครื่องประดับใหม่ทุกวันก็ยังมีอีกนับไม่ถ้วน
ของขวัญเหล่านี้จะไปกับลูกตลอดเวลา ของขวัญทางวัตถุเหล่านั้นจะยังคงอยู่ที่นี่
แต่ของขวัญเหล่านี้จะไปกับลูก
ลูกเต็มไปด้วยของขวัญจากพระเจ้าที่ลูกไม่จำเป็นต้องหารายได้อะไรเลยที่นั่น
ลูกจะใช้ชีวิตต่อไปกับของขวัญของลูก ลูกจะเป็นอิสระจากความลำบากตรากตรำ
ลูกทุกคนมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสโดยเฉพาะ บัพดาดาเรียกสิ่งนี้ว่าวันคิสมิส
kismis (ลูกเกด) วันคิสมิสหมายถึงวันแห่งความอ่อนหวาน
เป็นวันที่จะกลับมาอ่อนหวานอย่างสม่ำเสมอ
ในวันนี้พวกเขากินขนมหวานจำนวนมากและให้ขนมหวานนี้แก่ผู้อื่นเช่นกัน
ปากของพวกเขาจะหวานเพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะถ้าพวกเขาเองกลับมาอ่อนหวาน
คำพูดที่อ่อนหวานเท่านั้นที่จะปรากฏออกมาจากปากของพวกเขาตลอดเวลา
ลูกมีความสุขเมื่อลูกรับประทานสิ่งที่หวานหรือให้ผู้อื่นเช่นกัน
ในทำนองเดียวกันคำพูดที่อ่อนหวานทำให้ลูกมีความสุขและทำให้ผู้อื่นมีความสุขเช่นกัน
ดังนั้นให้ทำเช่นนี้และทำให้ปากของทุกคนหวานอยู่เสมอ ให้มีดริชตีที่แสนหวาน
คำพูดที่อ่อนหวาน และการกระทำที่อ่อนหวานอยู่เสมอ นี่คือความหมายของการเฉลิมฉลองวัน
คิสมิส การเฉลิมฉลองหมายถึงการทำให้ผู้อื่นอ่อนหวาน
ให้ดริชตีที่แสนหวานกับใครก็ตามชั่วขณะหนึ่ง พูดคำพูดที่อ่อนหวานสักสองสามคำ
แล้วลูกจะทำให้ดวงวิญญาณนั้นรู้สึกเต็มเปี่ยมตลอดเวลา
สองวินาทีของดริชตีที่แสนหวานและคำพูดที่อ่อนหวานจะเปลี่ยนโลกของดวงวิญญาณนั้น
คำพูดที่อ่อนหวานเพียงไม่กี่คำเหล่านี้จะกลายเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงพวกเขาตลอดเวลา
ความอ่อนหวานเป็นคุณธรรมที่ทำให้ดินแดนอันแสนขมนั้นกลับมาหวานชื่น
พื้นฐานของการเปลี่ยนแปลงของลูกทั้งหมดคือคำพูดที่อ่อนหวานเพียงไม่กี่คำจากบาบาใช่ไหม?
ลูกๆที่แสนหวาน ลูกเป็นดวงวิญญาณที่บริสุทธิ์และอ่อนหวาน
คำพูดที่อ่อนหวานไม่กี่คำเหล่านี้เปลี่ยนแปลงลูก
ดริชตีที่แสนหวานของบาบาเปลี่ยนแปลงลูก
ในทำนองเดียวกันด้วยความอ่อนหวานก็ทำให้คนอื่นอ่อนหวานเช่นกัน
ทำให้ปากของพวกเขาหวานด้วยวิธีนี้ ลูกเข้าใจไหม? ลูกเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสใช่ไหม?
ลูกเติมอาภรณ์ของลูกด้วยของขวัญเหล่านี้ตลอดเวลาหรือไม่?
เก็บของขวัญแห่งความหวานชื่นไว้กับลูกเสมอ
อยู่อย่างอ่อนหวานกับสิ่งนี้เสมอและทำให้ผู้อื่นอ่อนหวาน อัจชะ
ถึงผู้ที่เติมเต็มอาภรณ์ของสติปัญญาของพวกเขาด้วยเพชรพลอยแห่งความรู้
ถึงผู้ที่กลายเป็นดวงวิญญาณที่ทรงพลังด้วยพลังและเต็มไปด้วยพลังทั้งหมด
ถึงดวงวิญญาณที่สูงส่งที่ได้รับการประดับประดาด้วยเครื่องประดับของทุกคุณธรรมอยู่เสมอ
ถึงลูก ๆ ที่แสนหวาน ที่ทำให้ปากของพวกเขาหวานด้วยความอ่อนหวาน ด้วยความรัก
การจดจำระลึกถึง และนมัสเต จากบัพดาดา
อะแวคบัพดาดาพบกุมาร:
1) กุมารหมายถึงผู้ที่ก้าวไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่รวดเร็ว
อย่าให้เป็นเช่นนั้นที่ลูกก้าวเดินไปแล้วหยุดและก้าวเดินไปอีกครั้ง
ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร จงพิจารณาตนเองว่าเป็นดวงวิญญาณที่ทรงพลังและก้าวต่อไป
อย่าเป็นผู้ที่ได้รับอิทธิพลจากสถานการณ์หรือบรรยากาศ
แต่เป็นผู้ที่มีอิทธิพลที่สูงส่งต่อผู้อื่น
อิทธิพลที่สูงส่งหมายถึงอิทธิพลทางจิตวิญญาณไม่ใช่อิทธิพลอื่นใด
ลูกเป็นกุมารเช่นนี้หรือไม่? ลูกไม่ใช่ผู้ที่สั่นคลอนเมื่อลูกต้องสอบใช่ไหม?
ลูกจะสอบผ่านการสอบของลูกใช่ไหม? ลูกมีความกล้าหาญอยู่เสมอใช่ไหม?
ที่ใดมีความกล้าหาญ ที่นั่นมีความช่วยเหลือจากพ่ออย่างแน่นอน
เมื่อลูกมีความกล้าหาญพ่อก็ช่วยเหลือ
ทำให้ตัวเองอยู่ข้างหน้าในทุกงานและเฝ้าแต่ทำให้ผู้อื่นมีพลังเช่นกัน
2) กุมารคือผู้ที่อยู่ในสภาพที่โบยโบยบิน
มีเพียงผู้ที่เป็นอิสระจากบ่วงพันธะเท่านั้นที่อยู่ในสภาพโบยบิน
ดังนั้นลูกคือกุมารที่ปราศจากบ่วงพันธะ ลูกไม่มีบ่วงพันธะใดๆในจิตใจของลูกเช่นกัน
ดังนั้นลูกกุมารได้จบสิ้นบ่วงพันธะทั้งหมดเสมอและอยู่อย่างเป็นอิสระจากบ่วงและอยู่ในสภาพที่โบยบินหรือไม่?
กุมารใช้ทั้งพลังกายและพลังสติปัญญาของลูกในทางที่มีค่าไหม? ในชีวิตทางโลก,กุมารยังคงใช้พลังกายและพลังสติปัญญาของพวกเขาสำหรับงานในการทำลายล้างอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามเวลานี้ลูกได้กลายเป็นผู้ที่ใช้พลังเหล่านี้สำหรับงานที่สูงส่ง
ลูกไม่ใช่ผู้ที่สร้างความปั่นป่วน แต่เป็นผู้ที่สร้างความสงบ
ลูกเป็นกุมารที่สูงส่งเช่นนี้หรือไม่?
ซันสการ์ในชีวิตทางโลกของลูกเกิดขึ้นในบางครั้งหรือไหม?
ลูกคือผู้ที่มีชีวิตทางจิตนั่นคือลูกคือผู้ที่มีชีวิตใหม่
ดังนั้นสิ่งเก่าจะไม่เหลืออยู่ในชีวิตใหม่ของลูกอีกต่อไป
ลูกทุกคนเป็นดวงวิญญาณที่สูงส่งที่มีการเกิดใหม่ อย่าคิดว่าตนเองเป็นคนธรรมดา
แต่คิดว่าตนเองมีพลัง อย่าเข้ามาสู่ความปั่นป่วนแม้กระทั่งในความคิดของลูก
ลูกไม่มีคำถามว่า: “ฉันควรทำอย่างไรเพราะฉันยังคงมีความคิดที่ไร้ประโยชน์อยู่”
ใช่ไหม? ลูกคือกุมารที่มีโชค ลูกจะรับประทานจากโชคของลูกเป็นเวลา 21 ชาติเกิด
ลูกจะเป็นอิสระจากการทำงานหนักสำหรับรายได้ทางกายและรายได้ที่ละเอียดอ่อนเพื่อตัวลูกเอง
ความรักและความทรงจำในช่วงเวลาแห่งการอำลา:
บัพดาดาได้รับการ์ด,จดหมายและความทรงจำระลึกถึงจากลูกทุกคนของดินแดนนี้และในต่างแดนในวันพิเศษนี้
ในวันที่ยิ่งใหญ่นี้บัพดาดาขอมอบพรให้ลูกๆ ที่สุดแสนหวานและน่ารักทุกคน: "มีความสูงส่งด้วยความอ่อนหวานและทำให้ผู้อื่นสูงส่ง"
ขอให้ลูกก้าวหน้าต่อไปด้วยพรนี้และทำให้งานรับใช้ก้าวหน้าด้วยเช่นกัน
สำหรับลูกทุกคน การจดจำระลึกถึงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
และขอแสดงความยินดีด้วยความรักจากพ่อที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สวัสดีตอนเช้า
ขอแสดงความยินดีสำหรับการมีความความอ่อนหวานอย่างสม่ำเสมอ
พร:
ขอให้ลูกสร้างสมพลังแห่งความอดทนและมีความรักต่อทุกคนและได้รับผลที่หวานชื่นและไม่สูญสลาย
การอดทนต่อบางสิ่งไม่ได้หมายถึงการตาย แต่อยู่ในหัวใจของทุกคนด้วยความรัก
ไม่ว่าใครบางคนอาจทำให้เกิดการต่อต้านมากแค่ไหน ถึงแม้ว่าเขาจะดุร้ายกว่าราวัน
แม้ว่าลูกจะต้องอดทนต่อสิ่งต่าง ๆ ไม่ใช่เพียงแค่ครั้งเดียว แต่สิบครั้ง
แม้กระนั้นผลของพลังแห่งความอดทนก็แสนหวานและไม่สูญสลาย อย่าได้มีความรู้สึกใด ๆ
ว่าลูกต้องอดทนอย่างมากและอีกคนหนึ่งก็ควรอดทนเล็กน้อย
อย่าได้มีความรู้สึกใดๆที่ต้องการจะรับผลชั่วคราว
มีความรู้สึกของความเมตตาซึ่งเป็นความรู้สึกของการรับใช้
ผู้ที่มีความปรารถนาที่จะรับใช้จะยอมรับปรับตัวเข้ากับความอ่อนแอของทุกคน
พวกเขาจะไม่ต่อต้านคนเหล่านั้น
คติพจน์:
ลืมทุกสิ่งที่ผ่านไป
เรียนรู้บทเรียนจากสิ่งที่ผ่านมาและในอนาคตจะต้องมีความระมัดระวังอย่างสม่ำเสมอ