05.01.20 Avyakt Bapdada Thai Murli
30.03.85 Om Shanti Madhuban
บทเรียนของสามสิ่ง
วันนี้บัพดาดามาเพื่อพบลูกๆที่เป็นมิตรร่วมทางที่สม่ำเสมอของท่าน
เป็นเพราะพวกเขามีความรักอย่างยิ่งที่ลูกๆเป็นมิตรร่วมทางที่สม่ำเสมอและให้ความร่วมมือกับพ่อ
ที่ใดที่มีความรัก
ลูกจะกลายเป็นมิตรร่วมทางที่ให้ความร่วมมืออย่างสม่ำเสมอกับคนที่ลูกรัก
ดังนั้นเนื่องจากลูกๆมีความรัก พ่อจึงไม่สามารถทำงานใดได้หากปราศจากลูกๆ
และลูกๆก็ไม่สามารถทำงานใดได้หากปราศจากพ่อ
ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นของการสร้าง พร้อมกับการสร้างบราห์มา
พ่อก็สร้างบราห์มินด้วย ท่านไม่ได้สร้างบราห์มาเพียงคนเดียว
พร้อมกับบราห์มาท่านสร้างลูกๆบราห์มินเช่นกัน เพราะเหตุใด?
ลูกๆคือมิตรร่วมทางที่ให้ความร่วมมือ
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นในเวลาเดียวกันกับการเฉลิมฉลองวันเกิดของพ่อ?
วันเกิดของชีวาเป็นวันเกิดของบราห์มาและวันเกิดของบราห์มิน
ดังนั้นบัพดาดาและลูกๆทั้งหมดด้วยกันเป็นสิ่งสร้างดั้งเดิมและลูกก็กลายเป็นมิตรร่วมทางที่ให้ความร่วมมือของพ่อตั้งแต่ตอนต้น
ดังนั้นวันนี้พ่อกำลังมาพบปะกับมิตรร่วมทางที่ให้ความร่วมมือของท่าน
มิตรร่วมทางคือผู้ที่เติมเต็มความรับผิดชอบของความเป็นมิตรร่วมทางในทุกย่างก้าวทุกความคิดและทุกคำพูด
การทำตามจึงหมายถึงการเติมเต็มความรับผิดชอบของความเป็นมิตรร่วมทาง
ผู้ที่เติมเต็มความรับผิดชอบของความเป็นมิตรร่วมทางในทุกย่างก้าว
นั่นคือผู้ที่ทำตามพ่อนั้นเป็นมิตรร่วมทางที่แท้จริง
พวกเขาเป็นมิตรร่วมทางที่คงอยู่ตลอดไป
ทุกย่างก้าวของผู้เป็นมิตรร่วมทางที่แท้จริงจะเป็นเหมือนกับของพ่อโดยอัตโนมัติ
ไม่สามารถมีการขึ้นลงใดๆในสิ่งเหล่านั้น
มิตรร่วมทางที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องเพียรพยายามว่าพวกเขาควรจะก้าวไปทางนี้หรือทางนั้น
ด้วยการวางเท้าของลูกไว้ในรอยเท้าของพ่อ
ลูกจะไม่สามารถวางเท้าของลูกในที่อื่นได้โดยอัตโนมัติ สิ่งที่หลอมรวมอยู่ในจิตใจ
สติปัญญา และหัวใจของลูกผู้ที่เป็นมิตรร่วมทางที่แท้จริงคืออะไร?
ฉันเป็นของพ่อและพ่อก็เป็นของฉัน ในสติปัญญาลูกตระหนักดีว่า:
อะไรก็ตามที่เป็นมรดกของสมบัติที่ไม่มีขีดจำกัดของพ่อนั้นคือของฉัน
ในหัวใจก็จะมีเพียงผู้ที่ปลอบประโลมหัวใจ ไม่สามารถมีอะไรอีกแล้ว
มีเพียงแค่หัวใจกับผู้ที่ปลอบประโลมหัวใจ
ดังนั้นในเมื่อพ่อได้หลอมรวมอยู่ในการจดจำระลึกถึงของลูก
ดังนั้นการตระหนักรู้ของลูกเป็นเช่นไรสภาพของลูกและการกระทำของลูกก็จะเป็นเช่นนั้นโดยอัตโนมัติ
ในหนทางของความเลื่อมใสศรัทธา เพื่อที่จะแสดงศรัทธาของพวกเขาออกมา
ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาพูดว่า: ดูซิว่าฉันมีใครในหัวใจของฉัน!
ลูกจะไม่พูดสิ่งนั้นแต่ทุกคนจะมีประสบการณ์โดยอัตโนมัติ
นั่นคือเห็นผู้ที่ปลอมประโลมหัวใจนั้นผ่านหัวใจของลูก
ดังนั้นมิตรร่วมทางที่แท้จริงคือนายผู้ทรงพลังอำนาจเหมือนพ่อ
วันนี้บัพดาดามาเพื่อแสดงความยินดีกับลูกๆ
เวลานี้ลูกผู้เป็นมิตรร่วมทางที่สม่ำเสมอด้วยความจริงจังและความกระตือรือร้นของลูกกำลังเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องในการจดจำระลึกถึงและในงานรับใช้
ในจิตใจของแต่ละคนมีความคิดที่มุ่งมั่นเดียว: ธงแห่งชัยชนะจะต้องถูกชักขึ้นมา
ธงของการเปิดเผยพ่อทางจิตผู้เดียวนี้จะถูกชักขึ้นมาทั่วทั้งโลก ภายใต้ธงที่สูงนี้
ดวงวิญญาณในโลกทั้งหมดจะร้องเพลงว่าพ่อมาแล้ว เมื่อลูกชักธงในตอนนี้
ลูกทั้งหมดจะยืนอยู่ใต้ธงและร้องเพลงด้วยเช่นกัน หลังจากนั้นอะไรเกิดขึ้น?
เมื่อธงถูกชักขึ้นทุกคนก็จะโปรยด้วยดอกไม้
ในทำนองเดียวกันเพลงนี้จะปรากฏในหัวใจของทุกคนโดยอัตโนมัติ: พ่อของทุกคนคือผู้เดียว
ผู้ให้การปลดปล่อยและการหลุดพ้นจากบาปและความไม่บริสุทธิ์คือพ่อผู้เดียว
เมื่อลูกร้องเพลงเช่นนั้น
ลูกจะสัมผัสกับการประพรมของความสงบและความสุขที่ไม่มีวันสูญสลายเหมือนกับการโปรยดอกไม้
ทันทีที่ลูกพูดว่า “พ่อ” ลูกก็ได้สัมผัสกับมรดก
ดังนั้นลูกทุกคนมีความจริงจังและความกระตือรือร้นเดียวนี้ในจิตใจของลูก
ด้วยเหตุนี้เองเมื่อมองเห็นความจริงจังและความกระตือรือร้นในหัวใจของลูกๆ
บัพดาดาจึงขอแสดงความยินดีกับลูก (vadhaai) ท่านจะไม่อำลาลูก (bidaai)
ขอแสดงความยินดี! ทุกๆขณะของยุคบรรจบพบกันเป็นเวลาสำหรับการแสดงความยินดี
ดังนั้นบัพดาดาขอแสดงความยินดีกับลูกแต่ละคนสำหรับความรักในหัวใจของลูกและสำหรับความรักในงานรับใช้ของลูก
ลูกทั้งหมดมีความกระตือรือร้นที่จะเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอในงานรับใช้
จะไม่มีใครที่ไม่มีความกระตือรือร้นที่จะเคลื่อนไปข้างหน้าในงานรับใช้
หากลูกไม่มีความจริงจังและความกระตือรือร้น ลูกจะมาที่นี่ได้อย่างไร?
นี่ก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้น
ลูกมีความจริงจังและความกระตือรือร้นและสิ่งนี้ก็จะคงอยู่ตลอดเวลา
ในขณะที่กำลังเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกันด้วยความจริงจังและกระตือรือร้น
ลูกทั้งหมดเป็นอิสระจากอุปสรรคอย่างสม่ำเสมอหรือไม่?
ความจริงจังและกระตือรือร้นเป็นสิ่งที่ดีมาก
แต่มีความแตกต่างระหว่างการทำงานรับใช้ที่เป็นอิสระจากอุปสรรคกับการทำงานรับใช้ที่ลูกเอาชนะอุปสรรคอย่างสม่ำเสมอ
การเป็นอิสระจากอุปสรรคหมายถึงลูกไม่ได้กลายเป็นอุปสรรคต่อผู้อื่นหรือลูกก็ไม่ได้หวาดกลัวต่ออุปสรรคประเภทใด
ลูกสัมผัสประสบการณ์ของคุณสมบัติพิเศษนี้พร้อมกับความจริงจังและความกระตือรือร้นหรือไม่?
หรือลูกมีอุปสรรค? หนึ่งคือเมื่ออุปสรรคนั้นมาสอนบทเรียนแก่ลูก
อีกหนึ่งนั้นคือเมื่ออุปสรรคมาทำให้ลูกสั่นคลอน
ถ้าลูกได้เรียนรู้บทเรียนของลูกและกลับมามั่นคง อุปสรรคนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นความรัก
หากลูกกลัวอุปสรรคแล้วทะเบียนประวัติก็จะมีรอยเปื้อน ดังนั้นจึงมีความแตกต่าง
การเป็นบราห์มินหมายถึงการท้าทายมายา เพียงแค่ให้อุปสรรคมา! ฉันได้รับชัยชนะ
ลูกไม่สามารถทำสิ่งใดได้ ก่อนหน้านี้ลูกเคยเป็นเพื่อนของมายา
เวลานี้ลูกให้คำท้าทายด้วยการพูดว่า: ลูกจะกลายเป็นผู้ที่เอาชนะมายา
ลูกได้ยืนคำท้าทายนี้ใช่ไหม? มิฉะนั้นแล้วลูกจะกลายเป็นผู้เอาชนะใคร? ชนะตนเอง?
เมื่อลูกกลายเป็นเพชรพลอยที่มีชัยชนะ นั่นเป็นเพราะลูกมีชัยชนะเหนือมายาใช่ไหม?
ลูกได้ถูกร้อยในลูกประคำแห่งชัยชนะและได้รับการกราบไหว้บูชา
ดังนั้นการเป็นผู้เอาชนะมายาหมายถึงต้องมีชัยชนะ การกลายเป็นบราห์มิน
หมายถึงการท้าทายมายา อย่างไรก็ตามผู้ที่ท้าทายเธอจะมีประสบการณ์ว่านั่นเป็นเกม
ที่เธอมาและก็ไป
ลูกสามารถรู้ตระหนักรู้ถึงเธอได้จากระยะทางไกลและขับไล่เธอไปจากระยะไกล
ลูกไม่ต้องสูญเสียเวลาของลูก ลูกทั้งหมดดีมากในงานรับใช้
พร้อมกับงานรับใช้แล้วให้มีการบันทึกงานรับใช้ที่เป็นอิสระจากอุปสรรคด้วย
ลูกรักษาบันทึกของความบริสุทธิ์ตั้งแต่ตอนต้น
ใครคือคนที่ไม่กลับมาไม่บริสุทธิ์แม้กระทั่งในความคิดตั้งแต่ตอนต้นจนถึงตอนนี้?
ลูกกำลังมองหาคุณสมบัติพิเศษนี้ใช่ไหม?
จะไม่มีใครสอบผ่านด้วยเกียรตินิยมในเรื่องของความบริสุทธิ์เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น
ดังนั้นลูกจึงต้องดูว่าใครที่อยู่อย่างไม่สั่นคลอน
ใครที่ไม่เคยมีประสบการณ์กับความวุ่นวายใดๆ
และไม่เคยได้รับอิทธิพลจากอุปสรรคในงานรับใช้ ในสภาพของเขา
ในสายใยและความสัมพันธ์ของเขา และในการจดจำระลึกถึง
ลูกได้รับการบอกแล้วว่าลูกจะต้องไม่ได้รับอิทธิพลจากอุปสรรคหรือเป็นอุปสรรคของผู้อื่น
คะแนนถูกสะสมบนพื้นฐานของสิ่งนี้เช่นกัน หนึ่งคือความบริสุทธิ์
และอีกหนึ่งคือการจดจำระลึกถึงที่ไม่มีอะไรเจือปน
อย่าให้มีอุปสรรคแม้แต่น้อยในการจดจำระลึกถึงของลูก
ด้วยวิธีนี้ทำให้ตนเองเป็นอิสระจากอุปสรรคในงานรับใช้เสมอ
มีความพอใจในคุณธรรมของลูกและทำให้ผู้อื่นพอใจ
คุณธรรมของความพอใจเป็นกระจกสำหรับซึมซับคุณธรรมทั้งหมด ดังนั้นในคุณธรรมของลูก
ลูกจะต้องได้รับประกาศนียบัตรของความพอใจจากตัวลูกเองและจากผู้อื่นด้วยเช่นกัน
นี่คือสิ่งที่บ่งบอกถึงการสอบผ่านด้วยเกียรตินิยม
สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการเป็นหนึ่งในเพชรพลอยทั้งแปด
ลูกคือผู้ที่จะประกาศสิทธิ์ในอันดับในทุกสิ่ง
ลูกไม่ใช่ผู้ที่ดีในวิชาเดียวเท่านั้นใช่ไหม - ที่ฉันโอเคในงานรับใช้?
แน่นอนบัพดาดาขอแสดงความยินดี ลูกจะต้องกลายเป็นหนึ่งในแปด
และหนึ่งในเทพที่เป็นที่รักเป็นพิเศษ หากลูกกลายเป็นหนึ่งในแปด
ลูกก็จะยิ่งใหญ่ในการเป็นหนึ่งในเทพที่รักเป็นพิเศษเช่นกัน
สำหรับสิ่งนี้จงจดจำสามสิ่งนี้ตลอดทั้งปีและตรวจสอบตนเอง
หากสิ่งใดในสามสิ่งเหล่านี้ยังคงอยู่ในตัวลูก
แม้กระทั่งในความคิดของลูกแล้วจงบอกลาสิ่งเหล่านั้น วันนี้เป็นวันแห่งความยินดี
เมื่อลูกลา ลูกทำอะไรในช่วงเวลาของการลา? (แจกโทลี ไปเร็วมาเร็ว-ก้อนน้ำตาล
อัลมอนด์ คาร์ดาม่อน) มีสามสิ่ง ดังนั้นลูกก็จะต้องให้สามสิ่งกับบัพดาดาด้วยใช่ไหม?
นี่ไม่ใช่เป็นการอำลาแต่เป็นการแสดงความยินดี และด้วยเหตุนี้เองที่ปากของลูกจึงหวาน
ดังนั้นสามสิ่งนี้ให้เพื่ออะไร? เพื่อที่ลูกจะได้กลับมาในไม่ช้า
วันนี้บัพดาดาจะบอกลูกเกี่ยวกับสามสิ่งที่บางครั้งกลายเป็นอุปสรรคในงานรับใช้
ดังนั้นบัพดาดาโดยเฉพาะอย่างยิ่งจึงดึงความสนใจของลูกไปยังสามสิ่งนี้เป็นพิเศษอีกครั้ง
และด้วยการใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้ ลูกจะสอบผ่านด้วยเกียรตินิยมโดยอัตโนมัติ
1. อย่าให้มีความผูกพันยึดมั่นประเภทใดกับสิ่งที่มีขีดจำกัด
การมีความผูกพันยึดมั่นกับพ่อนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่อย่าได้มีความผูกพันยึดมั่นที่มีขีดจำกัดใดๆ
2. อย่าให้มีความตึงเครียดใดๆกับตนเองหรือกับผู้อื่น อย่าให้มีความผูกพันยึดมั่น
แทนที่จะต่อสู้กับมายา อย่าให้มีความขัดแย้งใดๆต่อกันและกัน
3. อย่าให้มีธรรมชาติที่อ่อนแอใดๆ
ความผูกพันยึดมั่น ความตึงเครียด และธรรมชาติที่อ่อนแอ ความจริงแล้วคำว่าธรรมชาติ (สวาบาฟ)
นั้นดีมาก สวาบาฟหมายถึง ความรู้สึกของตนเอง ตนเองกล่าวได้ว่าสูงส่ง
มีความรู้สึกที่สูงส่ง มีความรู้สึกของตนเอง มีสำนึกที่เป็นดวงวิญญาณ
อย่างไรก็ตามลูกใช้คำว่า “บาฟสวาบาฟ” (ความขัดแย้งของความรู้สึกและธรรมชาติ)
อย่างมาก
ดังนั้นนั่นคือธรรมชาติที่อ่อนแอที่บางครั้งก็กลายเป็นอุปสรรคต่อสภาพที่โบยบินของลูก
ในคำพูดที่ดูสูงส่ง ลูกพูดว่า “ธรรมชาติของฉันเป็นเช่นนั้น”
เมื่อธรรมชาติของลูกสูงส่ง ก็จะเป็นเหมือนกับธรรมชาติของพ่อ
ถ้ามันกลายเป็นอุปสรรคแล้วนั่นก็เป็นธรรมชาติที่อ่อนแอ
ดังนั้นลูกรู้จักความหมายของคำทั้งสามคำ มีความตึงเครียดหลายประเภท
และสาเหตุของความตึงเครียดคือจิตสำนึกของ“ฉัน” ฉันทำสิ่งนี้ ฉันสามารถทำสิ่งนี้
ฉันคนเดียวเท่านั้นที่จะทำสิ่งนี้ สำนึกของ “ฉัน” นี้สร้างความตึงเครียด “ฉัน”นี้คือจิตสำนึกที่เป็นร่าง
สิ่งหนึ่งคือ “ฉันเป็นดวงวิญญาณที่สูงส่ง” อีกสิ่งหนึ่งคือ “ฉันคือนั่นคือนี่
ฉันรู้คิด ฉันเป็นโยคี ฉันเป็นญานี ฉันอยู่ข้างหน้าในงานรับใช้” จิตสำนึกของ “ฉัน”
นี้สร้างความตึงเครียด
เหตุนี้เองในบางกรณีที่มีความต้องการที่จะให้มีความรวดเร็วในงานรับใช้มันก็จะกลายเป็นความเร็วที่ช้า
ลูกยังคงเคลื่อนต่อไปแต่ลูกไม่สามารถเร่งความเร็วได้
พื้นฐานของการเร่งความเร็วคือการช่วยให้ผู้อื่นก้าวไปข้างหน้า
การช่วยให้พวกเขาก้าวไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอคือการที่ลูกเองเคลื่อนไปข้างหน้า
ลูกเข้าใจเกี่ยวกับจิตสำนึกของ “ฉัน” ในงานรับใช้ใช่ไหม? เป็นจิตสำนึกของ“ฉัน”
ที่จบสิ้นความเร็วที่รวดเร็ว ลูกเข้าใจไหม?
ลูกจะให้สามสิ่งเหล่านี้ไปใช่ไหม? หรือลูกจะเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้กับตัวลูก?
สิ่งนี้เรียกว่าโชคที่ลูกได้รับผ่านการสละละทิ้ง
จงเฝ้าแต่รับประทานด้วยการแบ่งปันกับทุกคนและสิ่งนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
ลูกได้รับโชคของการสละละทิ้งนี้
สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับงานรับใช้คือโชคของการสละละทิ้งของลูก
อย่างไรก็ตามหากลูกเก็บโชคนี้ไว้อย่างมีขีดจำกัด ด้วยจิตสำนึกของ“ฉัน”
โชคก็จะไม่เพิ่มขึ้น
จงทำให้ผู้อื่นให้ความร่วมมือและเฝ้าแต่แบ่งปันผลของโชคของการสละละทิ้งกับผู้อื่นอย่างต่อเนื่องและเคลื่อนไปข้างหน้า
อย่าเพียงแต่พูดว่า “ฉัน ฉัน” จงแบ่งปันสิ่งนั้นกับผู้อื่นด้วย
แบ่งปันสิ่งนั้นต่อกันและกัน ทำงานอย่างสอดคล้องปรองดองและเฝ้าแต่เคลื่อนไปข้างหน้า
กระแสเหล่านี้มองเห็นได้ท่ามกลางงานรับใช้เวลานี้
ดังนั้นกลับมามีหัวใจที่กว้างใหญ่ในสิ่งนี้ สิ่งนี้เรียกว่า:
คนที่ริเริ่มก็คืออรชุน อย่าได้มองกันและกัน “ผู้นี้ก็ทำสิ่งนี้ด้วย
สิ่งนี้เกิดขึ้นตลอดเวลา” แต่แทนที่โดยการ“ให้ฉันเป็นเครื่องมือที่จะมองเห็นคุณสมบัติพิเศษของผู้อื่น”
คุณสมบัติพิเศษของพ่อบราห์มาคืออะไร? ท่านจะให้ลูกๆอยู่ข้างหน้าเสมอ “ลูกๆฉลาดกว่าฉัน
ลูกๆจะทำสิ่งนี้”
ท่านมีการสละละทิ้งมากที่ท่านสละละทิ้งแม้กระทั่งโชคที่ได้จากการสละละทิ้ง
หากมีใครสรรเสริญบราห์มาเพราะความรักที่เขาได้รับหรือความสำเร็จที่พวกเขามี
ท่านก็จะเตือนพวกเขาให้นึกถึงพ่อ ลูกจะไม่ได้รับมรดกจากบราห์มา
ลูกจะต้องไม่เก็บภาพของบราห์มา อย่าได้พิจารณาว่าบราห์มาเป็นทุกสิ่ง
สิ่งนี้เรียกว่าการสละละทิ้งโชคที่ได้รับจากการสละละทิ้งและข้องแวะอยู่ในงานรับใช้
ด้วยการทำเช่นนี้ลูกจะกลายเป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่เป็นสองเท่า
ประการที่สองให้ผู้อื่นเสนอตัวเขาเอง อย่าให้พวกเขาดึงลูก
หากลูกสรรเสริญตัวเองและดึงผู้อื่นเข้ามาหาตัวลูกเอง ลูกจะเรียกสิ่งนั้นว่าอะไร?
ลูกได้ยินสิ่งนั้นในเมอลีแล้วใช่ไหม? อย่าได้กลายเป็นเช่นนั้น
อย่าได้มีการชักเย่อของการดึงใครบางคนเข้าหาตัวลูก
อะไรก็ตามที่ลูกได้รับอย่างง่ายดายคือโชคที่สูงส่ง
การจะรับบางสิ่งด้วยการดึงสิ่งนั้นเข้ามาหาลูกไม่ได้ถูกเรียกว่าเป็นโชคที่สูงส่ง
ไม่มีความสำเร็จในสิ่งนั้น จะมีความพยายามมากขึ้นและประสบความสำเร็จน้อยลง
เพราะลูกจะไม่ได้รับพรของทุกคน
อะไรก็ตามที่ลูกได้รับอย่างง่ายดายนั้นจะเต็มไปด้วยพรของทุกคน ลูกเข้าใจไหม?
ความตึงเครียดคืออะไร? บาบาได้อธิบายเกี่ยวกับความผูกพันยึดมั่นเมื่อวันก่อนแล้ว
อย่าให้มีธรรมชาติที่อ่อนแอใดๆ อย่าคิดว่า: ฉันเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้
และเหตุนี้เองธรรมชาติของฉัน วิธีการเคลื่อนไหวของฉัน
และการดำเนินชีวิตของฉันจึงเป็นเช่นนี้ ไม่เลย
ไม่ใช่ว่าธรรมชาติของฉันคือสิ่งที่เป็นเพราะแผ่นดิน ศาสนา หรือมิตรร่วมทาง
ลูกเป็นของแผ่นดินใด? ลูกได้รับสถานที่นั้นก็เพื่องานรับใช้เท่านั้น
ไม่มีใครที่เป็นชาวต่างชาติ และก็ไม่ควรจะมีใครที่มีความซาบซึ้งว่าฉันเป็นชาวบารัต
ลูกทั้งหมดเป็นของพ่อผู้เดียว
ผู้ที่อาศัยอยู่ในบารัตคือดวงวิญญาณบราห์มินและผู้ที่อาศัยอยู่ในต่างแดนก็เป็นดวงวิญญาณบราห์มินเช่นกัน
ไม่มีความแตกต่าง ไม่ใช่ว่าชาวบารัตเป็นเช่นนี้ ผู้คนในต่างประเทศเป็นเช่นนั้น
อย่าได้พูดคำพูดเหล่านี้ ลูกทั้งหมดคือดวงวิญญาณบราห์มิน
สถานที่เหล่านี้เป็นไปเพื่องานรับใช้เท่านั้น
ลูกได้รับการบอกว่าเหตุใดลูกถึงต้องเดินทางไปอยู่ต่างประเทศ
ทำไมลูกถึงต้องไปเกิดที่นั่น และทำไมลูกถึงไม่เกิดในบารัต
ลูกไปที่นั่นเพื่อเปิดสถานที่งานรับใช้
มิฉะนั้นชาวบารัตก็คงจะมีปัญหามากมายเกี่ยวกับวีซ่า
ลูกทั้งหมดอาศัยอยู่ที่นั่นได้อย่างง่ายดาย งานรับใช้กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศย
ดังนั้นลูกเดินทางไปต่างประเทศเพื่อทำงานรับใช้
อย่างไรก็ตามลูกคือดวงวิญญาณบราห์มินทั้งหมด
ดังนั้นอย่าให้ลูกคนไหนทำให้ธรรมชาติของลูกต้องพึ่งพิงกับสิ่งใด
ธรรมชาติของพ่อคือธรรมชาติของลูกๆ อะไรคือธรรมชาติของพ่อ?
ธรรมชาติของท่านคือการมีความรู้สึกของคุณประโยชน์อยู่เสมอและมีความรู้สึกที่มีเมตตาต่อทุกดวงวิญญาณอย่างสม่ำเสมอ
ธรรมชาติของท่านคือการยกระดับทุกคน เป็นธรรมชาติที่อ่อนหวาน
เป็นธรรมชาติของความถ่อมตน อย่าได้พูดว่า “ธรรมชาติของฉันเป็นเช่นนั้น” “ของฉัน”มาจากไหน?
การพูดอย่างเกรี้ยวกราดเป็นธรรมชาติของฉัน การมีความแรงก็เป็นธรรมชาติของฉัน
สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะธรรมชาติของฉัน นี่คือมายา! บางคนมีธรรมชาติของความหลงทะนงตน
ความอิจฉา หรือมีความแรง บางคนมีธรรมชาติของการท้อแท้ใจ
แม้ว่าพวกเขาอาจจะดีแต่พวกเขาก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองดี พวกเขาจะคิดว่าตนเองอ่อนแอเสมอ
“ฉันไม่สามารถเคลื่อนไปข้างหน้าได้ ฉันไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้”
การมีธรรมชาติที่ท้อแท้นี้ก็เป็นสิ่งที่ผิดด้วยเช่นกัน
อย่าได้มีความหลงทะนงตนแต่จงเคารพในตนเอง ดังนั้นธรรมชาติประเภทนั้นจึงเรียกว่า
ธรรมชาติที่อ่อนแอ ดังนั้นจงใส่ใจในสามสิ่งนี้ตลอดทั้งปี
อยู่อย่างปลอดภัยจากทั้งสามสิ่งนี้ ไม่ยากใช่ไหม?
มิตรร่วมทางของลูกคือมิตรที่จะให้ความร่วมมือตั้งแต่ต้นจนถึงเวลาสุดท้าย
มิตรร่วมทางจะต้องมีความทัดเทียมกัน
หากไม่มีความทัดเทียมกันในความเป็นมิตรร่วมทางแล้ว
มิตรร่วมทางก็ไม่สามารถตอบสนองความรับผิดชอบของความรักได้ โอเค
ลูกจะต้องใส่ใจในสามสิ่งเหล่านี้
อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะอยู่ห่างจากสามสิ่งนี้อย่างสม่ำเสมอ จงจดจำอีกสามสิ่ง
วันนี้บาบากำลังสอนลูกบทเรียนของสามสิ่ง
จงรักษาความสมดุลในชีวิตของลูกอย่างสม่ำเสมอ ให้มีความสมดุลในทุกสิ่ง
ความสมดุลในการจดจำระลึกถึงและงานรับใช้ ความเคารพตนเองจะจบสิ้นความหยิ่งยโส
อยู่อย่างมั่นคงในความเคารพตนเองของลูก ให้สามสิ่งนี้คงอยู่ในสำนึกรู้ของลูก
ไม่สนุกสนานเกินไปและก็ไม่ซีเรียสหรือจริงจังเกินไป ให้มีความสมดุล
จงมีความสนุกสนานเมื่อลูกต้องให้ความบันเทิง
และจริงจังเมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องจริงจัง ดังนั้นอันดับแรกคือความสมดุล
ประการที่สองรับพรพิเศษจากพ่อเสมอในอมฤตเวลา
ทุกวันในอมฤตเวลาบัพดาดาจะเปิดอาภรณ์แห่งพรของท่านสำหรับลูกๆ
ลูกสามารถรับได้มากเท่าที่ลูกต้องการจากช่วงเวลานั้น ดังนั้นความสมดุล พร
และประการที่สาม ชีวิตที่มีความปิติสุข ด้วยการมีสามสิ่งนี้ในสำนึกรู้ของลูก
สามสิ่งที่ลูกจะต้องใส่ใจจะจบสิ้นลงโดยอัตโนมัติ ลูกเข้าใจไหม? อัจชะ
ตอนนี้จงรับฟังอีกสามสิ่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกจะต้องรักษาเป้าหมายและซึมซับอีกสามสิ่งเป็นพิเศษ
ลูกจะต้องสละสิ่งเหล่านั้นและอีกสิ่งหนึ่งจะต้องถูกซึมซับ
ลูกได้ปล่อยวางสิ่งที่ลูกจะต้องปล่อยไปตลอดเวลาใช่ไหม?
ลูกไม่จำเป็นแม้กระทั่งต้องจดจำสิ่งเหล่านี้
แต่ลูกจะต้องรักษาสามสิ่งที่บาบาได้บอกลูกนี้ไว้ในสำนึกรู้ของลูกและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจดจำสิ่งเหล่านั้นเป็นพิเศษเพื่อที่จะกลายเป็นตัวของคุณธรรมเช่นกัน
1. ให้มีความเป็นจริงในทุกสิ่ง ไม่มีอะไรปะปนเลย สิ่งนี้เรียกว่าความเป็นจริง
การมีความเป็นจริงในความคิด คำพูด และทุกสิ่งของลูก
พระเจ้าพอใจกับหัวใจที่ซื่อสัตย์ สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงสัจจะคืออะไร?
ดวงวิญญาณจะร่ายรำเมื่อมีสัจจะ ผู้ที่มีความซื่อสัตย์จะเฝ้าแต่ร่ายรำในความสุขเสมอ
ดังนั้นหนึ่งคือความเป็นจริง ต่อมาคือความสูงศักดิ์
อย่าให้สติปัญญาของลูกอยู่ภายใต้ภาวะจำยอมกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ
สายตาของลูกที่สูงศักดิ์ไม่มีวันถูกดึงเข้าไปหาสิ่งเล็กน้อย
หากสายตาของเขาถูกดึงไปนั่นจะไม่เรียกว่าความสูงศักดิ์
หากสติปัญญาอยู่ในภาวะจำยอมต่อสิ่งเล็กๆน้อยๆ นั่นก็ไม่ได้เรียกว่าความสูงศักดิ์
ผู้ที่มีความสูงศักดิ์จะเป็นตัวของความสำเร็จเสมอ
สายตาและสติปัญญาของพวกเขาจะไม่ถูกดึงไปที่ใด
ดังนั้นนี่คือความสูงศักดิ์ทางจิตวิญญาณ
ไม่ใช่ความสูงศักดิ์ของเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ดังนั้นความเป็นจริง ความสูงศักดิ์
และสิ่งที่สามความเป็นหนึ่งเดียวกัน
ให้ความเป็นหนึ่งเดียวกันปรากฏขึ้นมาท่ามกลางลูกๆในทุกสถานการณ์ ในความคิด คำพูด
และการกระทำของลูก บราห์มินหมายถึงหนึ่ง ไม่ใช่เป็นแสน แต่หนึ่ง
สิ่งนี้เรียกว่าความเป็นหนึ่งเดียวกัน ที่นั่นเนื่องจากมีสภาพที่แตกต่างมากมาย
หนึ่งจึงกลายเป็นจำนวนมากมาย ในขณะที่ที่นี่, ในขณะที่มีมากมายลูกก็กลับมาเป็นหนึ่ง
สิ่งนี้เรียกว่าความเป็นหนึ่งเดียวกัน ลูกจะต้องไม่มองดูผู้อื่น “ฉันปรารถนาที่จะเป็นหนึ่งเดียวกัน
แต่ผู้นี้ไม่เป็นหนึ่งเดียว” หากลูกคงอยู่อย่างเป็นหนึ่งเดียวกันต่อไป
คนอื่นจะไม่มีโอกาสกลับมาแตกแยก ถ้าคนคนหนึ่งยกมือของเขาขึ้นมาเพื่อตบมือ
และอีกคนหนึ่งไม่ตบมือของเขาก็จะไม่มีเสียงใดๆ
หากใครบางคนกำลังทำบางสิ่งที่นำมาซึ่งความแตกแยก
ลูกก็เพียงแค่ต้องรักษาความเป็นหนึ่งเดียวกัน
จากนั้นผู้ที่สร้างความแตกแยกก็จะไม่สามารถทำงานใดๆที่เกิดความแตกแยกได้
พวกเขาจะต้องเข้ามาในความเป็นหนึ่งเดียวนั้น ดังนั้นจดจำสามสิ่งนี้ ความเป็นจริง
ความสูงศักดิ์ และความเป็นหนึ่งเดียวกัน
ทั้งสามสิ่งนี้จะให้ความร่วมมือกับลูกอย่างสม่ำเสมอในการกลับมาทัดเทียมกับพ่อ
ลูกเข้าใจไหม? วันนี้ลูกได้เรียนรู้บทเรียนของสามสิ่ง พ่อภูมิใจในตัวลูกๆ
ไม่มีพ่อคนใดสามารถมีลูกที่มีค่าและเป็นโยคีเช่นนั้น ลูกมีค่าและลูกก็เป็นโยคีด้วย
และลูกแต่ละคนมีโชคหลายล้านเท่า
ไม่มีใครตลอดทั้งวงจรสามารถที่จะมีลูกมากมายเช่นนั้น
ดังนั้นทำไมบัพดาดาจึงทำให้เวลาอมฤตเป็นพิเศษสำหรับลูกๆบราห์มิน?
เพราะในเวลานั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งบัพดาดาได้นำมาซึ่งคุณสมบัติพิเศษ งานรับใช้
และคุณธรรมของลูกทุกคนมาอยู่เบื้องหน้าท่าน แล้วท่านทำอะไรอีก?
ท่านทำให้คุณสมบัติพิเศษ คุณธรรม
และงานรับใช้ของลูกทุกคนไม่มีวันสูญสลายด้วยการให้พรพิเศษแก่พวกเขา
เหตุนี้เองเวลานั้นจึงถูกเก็บไว้สำหรับลูกโดยเฉพาะ
นั่นเป็นการหล่อเลี้ยงพิเศษของอมฤตเวลา
บัพดาดาให้การหล่อเลี้ยงของพรแห่งความรักและความร่วมมือกับแต่ละคน
ลูกเข้าใจสิ่งที่ท่านทำและสิ่งที่ลูกทำใช่ไหม?
ชีพบาบาคือผู้ที่ประทานความสุขและประทานความสงบ นี่คือสิ่งที่ลูกพูดใช่ไหม?
และพ่อก็ได้ให้การหล่อเลี้ยงลูก
เช่นเดียวกับที่พ่อแม่เตรียมลูกของพวกเขาให้พร้อมในตอนเช้า
พวกเขาจะทำให้ลูกของเขาสดชื่นและพูดว่า“ตอนนี้ไปทานอาหาร ดื่มน้ำ
และเรียนหนังสือตลอดทั้งวัน” ดังนั้นบัพดาดาก็ให้การหล่อเลี้ยงนี้ในอมฤตเวลา
นั่นคือท่านจะเติมพลังให้ลูกตลอดทั้งวัน นี่เป็นเวลาสำหรับการหล่อเลี้ยงพิเศษ
นี่คือเวลาสำหรับพรและการหล่อเลี้ยงพิเศษ อาภรณ์ของพรจะเปิดขึ้นในอมฤตเวลา
ลูกคนไหนก็ตามสามารถรับพรได้มากเท่าที่ลูกต้องการด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์
ไม่ใช่ด้วยแรงจูงใจที่เห็นแก่ตัว เมื่อมีแรงจูงใจที่เห็นแก่ตัว ลูกจะพูดว่า:
ให้สิ่งนี้กับฉัน! แล้วบัพดาดาจะทำอะไรเมื่อลูกขอด้วยแรงจูงใจที่เห็นแก่ตัวเช่นนั้น?
ท่านจะให้พลังที่มากแค่นั้นเพื่อตอบสนองเจตนาของลูก
อย่างไรก็ตามทันทีที่ความตั้งใจของลูกได้รับการตอบสนอง ทุกสิ่งก็จบสิ้น
อย่างไรก็ตามลูกเป็นลูกๆของท่าน และดังนั้นท่านจะไม่ปฏิเสธ
ดังนั้นจงเฝ้าแต่ได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยพรอย่างสม่ำเสมอ เฝ้าแต่ก้าวหน้าต่อไป
เฝ้าแต่โบยบิน สำหรับสิ่งนี้ยิ่งลูกทำให้เวลาอมฤตมีพลังมากเท่าไหร่
ตลอดทั้งวันของลูกก็จะเป็นเรื่องง่ายมากเท่านั้น ลูกเข้าใจไหม?
ถึงผู้ที่ทำให้ตนเองเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอพร้อมกับเป้าหมายและคุณสมบัติของผู้ที่จะสอบผ่านด้วยเกียรตินิยม
ถึงผู้ที่แบ่งปันโชคที่สูงส่งอย่างสม่ำเสมอที่พวกเขาได้รับผ่านการสละละทิ้งเหมือนพ่อบราห์มา
ถึงผู้ที่สละละทิ้งอันดับหนึ่งผู้ที่สร้างโชคที่สูงส่ง
ถึงผู้ที่ประกาศสิทธิ์ในการได้มาซึ่งการบรรลุผลอย่างง่ายดายและผู้ที่ทำให้ตนเองก้าวหน้าและทำให้งานรับใช้ก้าวหน้าด้วยเช่นกัน
ถึงผู้ที่กลายเป็นมิตรร่วมทางอย่างสม่ำเสมอที่ให้ความร่วมมือในทุกย่างก้าวและเคลื่อนไปข้างหน้า
ถึงผู้ที่ทำให้สำนึกรู้ของพวกเขาและสภาพของพวกเขามีพลังและทำตามพ่ออย่างสม่ำเสมอ
ถึงมิตรร่วมทางที่ให้ความร่วมมือเช่นนั้นและผู้ที่เชื่อฟังคำสั่ง
ถึงลูกที่เชื่อฟังที่อยู่อย่างพอใจ ถึงผู้ที่รู้ความลับของการทำให้ทุกคนมีความสุข
ถึงดวงวิญญาณที่สูงส่งเช่นนั้น ถึงดวงวิญญาณบุญที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้น
ถึงลูกผู้ให้ทานที่ยิ่งใหญ่เป็นสองเท่า ด้วยความรัก การจดจำระลึกถึง
และนมัสเตจากบัพดาดา
พร:
ขอให้ลูกขอให้ลูกประสบกับความสุขที่เหนือประสาทสัมผัสโดยการอยู่อย่างเป็นอิสระจากบ่วงใดๆของจิตใจและกลายเป็นผู้ประทานการหลุดพ้น
การแกว่งไกวในความสุขที่เหนือประสาทสัมผัสเป็นคุณสมบัติพิเศษของบราห์มินในยุคบรรจบพบกัน
อย่างไรก็ตามความคิดที่เป็นบ่วงใด ๆ
ในจิตใจของลูกจะไม่ปล่อยให้ลูกได้สัมผัสกับความสุขภายในหรือความสุขที่เหนือประสาทสัมผัส
การผูกติดอยู่กับความคิดที่ไร้ประโยชน์ ความอิจฉา ความไม่ระมัดระวัง
หรือความเกียจคร้านเป็นบ่วงของจิตใจ อันเนื่องมาจากความหลงทะนงตน
ดวงวิญญาณเช่นนั้นจะเฝ้าแต่คิดถึงการตำหนิผู้อื่นอยู่เสมอ
พลังแห่งการตระหนักรู้ของพวกเขาจบสิ้นลงและเหตุนี้เองพวกเขาจะต้องได้รับการปลดปล่อยจากบ่วงพันธะที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้
และแล้วเมื่อนั้นพวกเขาก็จะสามารถกลายเป็นผู้ประทานการหลุดพ้นได้
คติพจน์:
ให้เหมืองแห่งความสุขของลูกอยู่อย่างเต็มเปี่ยมที่จะไม่มีคลื่นแห่งความทุกข์มาหาลูก
การบ้านพิเศษเพื่อมีประสบการณ์กับสภาพที่อะแวคในเดือนอะแวคนี้
ไม่ว่าจะมีคนพูดไร้สาระต่อหน้าลูกมากแค่ไหน
เพียงแค่เปลี่ยนความไร้สาระนั้นและทำให้มันมีพลัง
อย่าได้นำสิ่งที่ไร้สาระใดๆเข้ามาในสติปัญญาของลูก
หากลูกยอมรับแม้แต่คำเดียวที่ไร้สาระนั้น
และแล้วคำพูดที่ไร้สาระนั้นจะให้กำเนิดคำพูดที่ไร้สาระอีกมากมาย
ใส่ใจกับคำพูดของลูกอย่างเต็มที่“พูดน้อย พูดค่อย ๆ และพูดอ่อนหวาน”
และลูกก็จะทำให้สภาพที่อะแวคของลูกง่ายดายขึ้น