29.12.19 Avyakt Bapdada Thai Murli
27.03.85 Om Shanti Madhuban
สภาพที่อยู่เหนือบ่วงกรรม(คาร์มาทีท)
วันนี้บัพดาดาได้เดินทางท่องทัวร์ไปดูลูกๆในทุกหนแห่งเป็นพิเศษ
ลูกได้เดินทางท่องทัวร์มามากมายในทุกสารทิศในหนทางของความเลื่อมใสศรัทธา
ดังนั้นวันนี้บัพดาดาจึงได้เดินทางไปยังทุกสถานที่ของบราห์มินที่แท้จริง
ท่านได้เห็นสถานที่ทั้งหมดของลูกๆและสภาพของลูกเช่นกัน
ทุกสถานที่ได้รับการตกแต่งในลักษณะที่แตกต่างกันไปของพวกเขาเอง
บ้างก็ดึงดูดด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทางวัตถุ บ้างก็ดึงดูดด้วยกระแสของตาปาเซีย
บ้างถูกถึงดูดด้วยการสละละทิ้งและโชคที่สูงส่งของพวกเขา
นั่นคือพวกเขาดึงดูดด้วยความเรียบง่ายและความยิ่งใหญ่ของพวกเขา
บ้างก็เห็นว่าธรรมดาเช่นกัน
บาบาได้เห็นสถานที่ที่หลากหลายทั้งหมดที่มีการจดจำระลึกถึงพระเจ้า บาบาเห็นสภาพใด?
ในสิ่งนี้เช่นกันบาบาได้เห็นสภาพที่แตกต่างกันหลายประเภทของลูกบราห์มิน
พ่อบราห์มาได้ไปดูว่าลูกๆได้มีการเตรียมการตามเวลามากแค่ไหน พ่อบราห์มากล่าวว่า:
ลูกๆมีความพร้อมเสมอและเป็นอิสระจากบ่วงพันธะทั้งหมด
พวกเขาเป็นโยกยุกต์และได้รับการหลุดพ้นในชีวิต พวกเขาเพียงแค่รอเวลา
ลูกพร้อมในระดับนี้หรือไม่? ลูกมีการเตรียมการของลูกและลูกเพียงแค่รอเวลาใช่ไหม?
บัพและดาดามีการสนทนาจากใจถึงใจ พ่อชีวากล่าวว่า: ในขณะที่เดินทางไปท่องทัวร์
พ่อได้เห็นว่าลูกเป็นอิสระจากบ่วงพันธะมากแค่ไหน พวกเขามีโยกยุกต์มากแค่ไหน
เพราะดวงวิญญาณที่เป็นอิสระจากบ่วงพันธะเท่านั้นที่สามารถสัมผัสประสบการณ์ของการหลุดพ้นในชีวิตได้
การไม่มีสิ่งค้ำจุนที่มีขีดจำกัดใดๆ หมายถึงการก้าวออกไปจากบ่วงพันธะ
หากยังมีการค้ำจุนประเภทใดไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ทางกายภาพหรือละเอียดอ่อน
ในความคิดของลูกหรือในการกระทำของลูก
ลูกไม่สามารถก้าวออกไปจากบ่วงพันธะเหล่านั้นได้
ดังนั้นพ่อบราห์มาจึงถูกพามาท่องทัวร์โดยเฉพาะเพื่อเห็นสิ่งนี้เป็นพิเศษ
ท่านเห็นอะไร?
ส่วนมากเป็นอิสระจากบ่วงพันธะที่ใหญ่
ลูกได้ก้าวออกไปจากบ่วงพันธะและเชือกที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามบ่วงพันธะและเชือกที่ละเอียดอ่อนที่สุดบางอย่างยังคงเหลืออยู่ในเวลานี้และสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถมองเห็นหรือรับรู้ได้นอกจากสติปัญญาที่ละเอียดอ่อนและลึกล้ำ
ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์สามารถมองเห็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนได้ด้วยแว่นที่ทรงพลัง
พวกเขาไม่สามารถมองเห็นได้ตามปกติ
ในทำนองเดียวกันด้วยพลังของการแยกแยะที่ละเอียดอ่อนลูกสามารถมองเห็นบ่วงพันธะที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้หรือลูกสามารถหยั่งรู้สิ่งเหล่านี้ด้วยสติปัญญาที่ละเอียดอ่อนและลึกล้ำ
หากลูกมองดูสิ่งเหล่านี้อย่างผิวเผินแล้วเพราะการไม่เห็นหรือไม่ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้
ลูกจึงเฝ้าแต่พิจารณาว่าตนเองเป็นอิสระจากบ่วงพันธะ
พ่อบราห์มาได้ตรวจสอบสิ่งค้ำจุนที่ละเอียดอ่อนเหล่านั้น
ท่านเห็นสิ่งค้ำจุนหลักสองประเภท
หนึ่งคือรูปที่ละเอียดอ่อนที่สุดของการค้ำจุนที่ละเอียดอ่อนของมิตรในงานรับใช้
ในสิ่งนี้เช่นกันท่านได้เห็นหลายประเภท เพราะการให้ความร่วมมือกันในงานรับใช้
เพราะการเป็นเครื่องมือสำหรับการสร้างความเติบโตในงานรับใช้
เพราะการมีคุณสมบัติพิเศษหรือคุณธรรมพิเศษบางอย่าง
เพราะมีการสอดคล้องปรองดองกันในแง่ของซันสการ์โดยเฉพาะหรือเพราะการให้ความช่วยเหลือกันเป็นพิเศษในบางครั้ง
เนื่องจากเหตุผลเหล่านี้รูปภายนอกก็คือพวกเขาเป็นมิตรที่ให้ความร่วมมือกันในงานรับใช้
อย่างไรก็ตามเนื่องจากการมีภาวะจำยอมเป็นพิเศษ
รูปของความผูกพันยึดมั่นที่ละเอียดอ่อนจึงถูกสร้างขึ้นมา ผลลัพธ์ของสิ่งนี้คืออะไร?
ลูกลืมไปว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของขวัญจากพ่อ
ลูกคิดว่าคนนั้นคนนี้เป็นคนที่ให้ความร่วมมือที่ดีมากด้วยคุณสมบัติพิเศษที่ดีและมีคุณธรรม
แต่บางครั้งลูกลืมไปว่าเป็นพ่อที่ทำให้ผู้นั้นเป็นเช่นนั้น
หากสติปัญญาของลูกยังคงขึ้นอยู่กับใครบางคนแม้กระทั่งในความคิดของลูก
การพึ่งพิงนั้นก็จะกลายเป็นสิ่งค้ำจุน เพราะพวกเขาให้ความร่วมมือในรูปที่มีตัวตน
ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องการ แทนที่จะจดจำพ่อ ลูกก็จะจดจำบุคคลนั้น
หากสิ่งค้ำจุนทางกายภาพนั้นเข้ามาในสำนึกของลูกแม้กระทั่งเป็นเวลาสองถึงสี่นาที
ลูกจะจดจำสิ่งค้ำจุนของพ่อในเวลานั้นได้หรือไม่?
ประการที่สองหากการเชื่อมโยงของการจาริกแสวงบุญแห่งการจดจำระลึกถึงขาดลงแม้กระทั่งสองหรือสี่นาที
หลังจากที่ขาดลง
ลูกก็จะต้องเพียรพยายามที่จะเชื่อมต่ออีกครั้งเพราะสิ่งนั้นจะไม่อยู่อย่างสม่ำเสมอได้อีก
แทนที่หัวใจของลูกจะขึ้นอยู่กับผู้ที่ปลอบประโลมหัวใจ
หัวใจของลูกกลับไปพึ่งพิงกับคนอื่นด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง “ฉันชอบพูดคุยกับคนนี้
ฉันชอบนั่งกับคนนี้” การพูดว่า “คนนี้โดยเฉพาะ” หมายความว่ามีบางสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
การมีความคิดว่า “คนนี้โดยเฉพาะ” หมายถึงการมีบางสิ่งที่ขาดหายไป “อันที่จริงฉันชอบทุกคนแต่ฉันชอบคนนี้มากกว่า”
การมีความรักทางจิตต่อทุกคน การพูดกับพวกเขา
การให้และรับความร่วมมือในงานรับใช้กับพวกเขานั้นเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไป
ดูคุณสมบัติพิเศษของพวกเขา ดูที่คุณธรรมของพวกเขา แต่อย่าได้นำ “มีเพียงคุณธรรมของคนนี้เท่านั้นที่ดีมาก”
เข้ามาในระหว่างนั้น คำว่า“เพียงคนนี้เท่านั้น”ทำให้ทุกสิ่งเสียหาย
สิ่งนี้เรียกว่าความผูกพันยึดมั่น และถึงแม้ว่ารูปภายนอกอาจจะเป็นงานรับใช้ ความรู้
หรือโยคะ ลูกก็ยังพูดว่า “ฉันต้องการมีโยคะกับคนนี้ โยคะของคนนี้เท่านั้นที่ดี”
ไม่ควรใช้คำว่า “เพียงคนนี้เท่านั้น” “มีเพียงคนนี้เท่านั้นที่สามารถให้ความร่วมมือในงานรับใช้
ฉันต้องการมิตรคนนี้เท่านั้น”
ดังนั้นลูกเข้าใจหรือไม่ว่าสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความผูกพันยึดมั่นคืออะไร?
ดังนั้นให้นำคำว่า “คนนี้เท่านั้น” ออกไป ทุกคนดี มองดูที่คุณสมบัติพิเศษของพวกเขา
อยู่อย่างให้ความร่วมมือและทำให้พวกเขาให้ความร่วมมือ
แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆในตอนแรก
แต่ภายหลังสิ่งนั้นก็จะเติบโตขึ้นและมีรูปที่ใหญ่โตและน่ากลัว
จากนั้นแม้ว่าลูกต้องการจะเป็นอิสระจากสิ่งนั้น
ลูกก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เพราะเชือกนั้นแข็งแรงมาก
ในตอนแรกเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนมาก แต่ภายหลังก็กลับมาแข็งแรงและก็ยากที่จะตัดออกไป
พ่อผู้เดียวเท่านั้นคือผู้ค้ำจุน ไม่มีดวงวิญญาณมนุษย์คนไหนเป็นผู้ค้ำจุน
พ่อทำให้ใครก็ตามเป็นเครื่องมือที่จะให้ความร่วมมือ
แต่อย่าได้ลืมผู้เดียวที่ทำให้ผู้นั้นเป็นเครื่องมือ
พ่อทำให้บุคคลนั้นเป็นเครื่องมือ เมื่อพ่ออยู่ตรงกลาง
เพราะท่านอยู่ที่นั่นจึงไม่มีบาป เมื่อพ่อถูกนำออกไปจากตรงกลางการทำบาปจึงเกิดขึ้น
ดังนั้นสิ่งแรกเกี่ยวกับการค้ำจุนก็คือสิ่งนี้
สิ่งที่สองลูกได้ทำให้สิ่งอำนวยความสะดวกทางวัตถุไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งเป็นสิ่งค้ำจุนของลูก
“เมื่อเรามีสิ่งอำนวยความสะดวกก็มีงานรับใช้”
เมื่อมีการขึ้นลงเล็กน้อยกับสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ งานรับใช้ก็ขึ้นลงเช่นกัน
การใช้สิ่งอำนวยความสะดวกเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไป
แต่การทำงานรับใช้ที่ถูกควบคุมโดยสิ่งอำนวยความสะดวกคือการทำให้สิ่งอำนวยความสะดวกเป็นเครื่องค้ำจุนของลูก
สิ่งอำนวยความสะดวกนั้นเป็นไปเพื่อการเติบโตของงานรับใช้
ดังนั้นจงใช้สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านั้นเพื่องานรับใช้เช่นนั้น
อย่าได้ทำให้สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านั้นเป็นสิ่งค้ำจุนของลูก
พ่อผู้เดียวเท่านั้นเป็นสิ่งค้ำจุน สิ่งอำนวยความสะดวกนั้นเป็นสิ่งชั่วคราว
ในการทำให้สิ่งอำนวยความสะดวกทางวัตถุเป็นสิ่งค้ำจุนของลูกหมายความว่า
เช่นที่สิ่งอำนวยความสะดวกนั้นเป็นสิ่งชั่วคราว สภาพของลูกก็จะเป็นเช่นเดียวกัน
บางครั้งก็สูงมาก บางครั้งก็ปานกลาง บางครั้งก็ต่ำ มันเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ
สภาพของลูกไม่ได้อยู่อย่างถาวร
ดังนั้นประการที่สองอย่าพิจารณาว่าสิ่งอำนวยความสะดวกชั่วคราวนั้นเป็นสิ่งค้ำจุนของลูก
สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านั้นมีอยู่แต่ชื่อเท่านั้น
สิ่งอำนวยความสะดวกอยู่ที่นั่นเพื่องานรับใช้
จงใช้สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านั้นเพื่องานรับใช้และกลับมาละวาง
อย่าปล่อยให้จิตใจของลูกถูกดึงรั้งไปหาแรงดึงดูดของสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ
ดังนั้นบาบาเห็นว่าลูกได้ทำให้สิ่งค้ำจุนทั้งสองประเภทนี้เป็นรากฐานของลูก
เมื่อลูกต้องไปถึงสภาพที่เหนือบ่วงกรรมของลูก ลูกจะต้องอยู่เหนือและละวางจากทุกคน
ทุกสิ่ง และทุกบ่วงพันธะของกรรม สิ่งนี้เรียกว่าสภาพที่เหนือบ่วงกรรม
การมีสภาพที่เหนือบ่วงกรรมไม่ได้หมายความว่าจะมีการละวางจากกรรมแต่เป็นการละวางจากบ่วงพันธะของกรรม
ซึ่งหมายถึงการแสดงการกระทำในขณะที่ละวาง นั่นคือการละวางจากการกระทำ
สภาพที่เหนือบ่วงกรรมหมายถึงสภาพที่เป็นอิสระจากบ่วงกรรม โยกยุกต์
และการหลุดพ้นในชีวิต
บาบาได้เห็นสิ่งนั้นเป็นพิเศษว่าบางครั้งลูกบางคนอ่อนแอในพลังของการแยกแยะ
พวกเขาไม่สามารถแยกแยะได้และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงถูกหลอกลวง
เนื่องจากเขาอ่อนแอในพลังของการแยกแยะ
ความรักของสติปัญญาของเขาจึงไม่สามารถอยู่อย่างมั่นคงได้ ที่ใดมีความมั่งคง
พลังของการแยกแยะจะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ
การมีความมั่นคงและมีสมาธิหมายถึงการหลุดหายไปในความรักของพ่อผู้เดียวอย่างสม่ำเสมอ
สิ่งที่บ่งชี้ถึงความมั่นคงและสมาธิคือลูกจะสัมผัสกับสภาพที่มั่นคงในการโบยบินอย่างสม่ำเสมอ
สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นความมั่นคงเมื่อมีความเร็วท่าเดิมตลอดเวลาเท่านั้น
มันหมายถึงการมีประสบการณ์ของสภาพที่โบยบินอย่างสม่ำเสมอ -
การมีความมั่นคงในสิ่งนั้น
หมายความว่าสามารถมีประสบการณ์ของเปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่าเมื่อวานนี้
สิ่งนี้เรียกว่าสภาพที่โบยบิน
ดังนั้นพลังในการแยกแยะจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับความก้าวหน้าของตนเองและความก้าวหน้าในงานรับใช้
เพราะลูกอ่อนแอในพลังของการแยกแยะ
ลูกจึงไม่พิจารณาว่าความอ่อนแอของลูกเป็นความอ่อนแอ
แต่เพื่อที่จะซ่อนความอ่อนแอของลูก
ลูกก็พยายามพิสูจน์ตนเองว่าถูกต้องหรือลูกกลับมาดื้อรั้น
สองสิ่งนี้เป็นวิธีพิเศษในการพยายามที่จะซ่อนบางสิ่ง
บางครั้งภายในลูกก็ตระหนักในสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน
แต่เนื่องจากการไม่มีพลังของการแยกแยะได้อย่างเต็มที่
ลูกจึงพยายามที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าถูกต้องและฉลาด ลูกเข้าใจไหม?
ลูกจะต้องกลับมาอยู่เหนือบ่วงกรรมใช่ไหม?
ลูกต้องการที่จะประกาศสิทธิ์ในอันดับใช่ไหม? ดังนั้นจงตรวจสอบตนเองดู
กลายเป็นโยกยุกต์อย่างมากและซึมซับพลังของการแยกแยะ
ให้สติปัญญาของลูกมั่นคงและมีสมาธิแล้วตรวจสอบตนเอง
จากนั้นความอ่อนแอที่ละเอียดอ่อนใดๆที่มีอยู่ลูกสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ไม่ควรจะเป็นเช่นนั้นที่ลูกคิดว่า “ฉันถูกต้องที่สุด ฉันกำลังก้าวหน้าไปอย่างดี
ฉันเท่านั้นที่จะกลับมาเหนือบ่วงกรรม” ไม่เช่นนั้นเมื่อถึงเวลา
บ่วงพันธะที่ละเอียดอ่อนจะไม่ปล่อยให้ลูกโบยบิน
สิ่งเหล่านั้นจะดึงลูกเข้าไปหาตัวมันเอง แล้วลูกจะทำอะไรในเวลานั้น?
หากบุคคลนั้นถูกผูกมัดถ้าเขาต้องการที่จะบินเขาจะสามารถบินได้หรือไม่
หรือเขาจะถูกนำลงมาด้านล่าง?
ดังนั้นอย่าให้บ่วงพันธะที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้กลายเป็นอุปสรรคในการประกาศสิทธิ์ในอันดับของลูก
ในการกลับบ้านพร้อมกับพ่อหรือการกลับมาพร้อมเสมอของลูก
ด้วยเหตุนี้ที่พ่อบราห์มาตรวจสอบ
สิ่งที่ลูกพิจารณาว่าเป็นสิ่งค้ำจุนนั้นไม่ใช่สิ่งค้ำจุนแต่เป็นเส้นเชือกที่สูงส่ง
ในทำนองเดียวกันมีตัวอย่างของกวางทอง สิ่งนั้นนำสีดาไปที่ไหน?
บ่วงพันธะเหล่านี้ก็เป็นกวางทอง
การพิจารณาว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นทองหมายถึงการสูญเสียโชคที่สูงส่งของลูก
สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ทองแต่สิ่งเหล่านั้นหมายถึงการสูญเสีย เธอสูญเสียราม
นั่นคือเธอได้สูญเสียกระท่อมที่ปราศจากความทุกข์
พ่อบราห์มามีความรักเป็นพิเศษต่อลูก
ด้วยเหตุนี้ท่านจึงต้องการเห็นลูกของท่านพร้อมเสมอและเป็นอิสระจากบ่วงพันธะเหมือนกับท่านตลอดเวลา
ลูกได้เห็นฉากของการเป็นอิสระจากบ่วงพันธะแล้วใช่ไหม?
ท่านใช้เวลานานแค่ไหนที่จะกลับมาพร้อมเสมอ?
ท่านถูกผูกมัดอยู่ในบ่วงพันธะกับผู้ใดหรือไม่? ท่านจดจำใครไหม? “คนนั้นคนนี้อยู่ไหน”
เพราะเธอเป็นเพื่อนในงานรับใช้หรือไม่? ท่านจดจำสิ่งนั้นหรือไม่?
ดังนั้นลูกได้เห็นบทบาทของการมีความพร้อมเสมอ บทบาทของสภาพที่เหนือบ่วงกรรม
ยิ่งท่านมีความรักที่ลึกซึ้งต่อลูกมากแค่ไหน ท่านก็มีความรักและละวางตามนั้น
ท่านได้รับเสียงเรียกแล้วท่านก็จากไป
อย่างไรก็ตามก็เป็นพ่อบราห์มาที่มีความรักมากที่สุดต่อลูกๆทั้งหมด
ยิ่งท่านมีความรักมากแค่ไหน ท่านก็ละวางตามนั้น
ลูกได้เห็นว่าท่านนั้นก้าวลงจากทุกสิ่ง
เมื่ออาหารที่ลูกกำลังทำใกล้จะเสร็จอาหารนั้นก็จะไม่ติดอยู่ด้านข้าง
ดังนั้นการกลับมาสมบูรณ์พร้อมหมายถึงการออกจากสิ่งที่อยู่ด้านข้าง
การออกจากสิ่งที่อยู่ด้านข้างหมายถึงการก้าวออกไป
ผู้ที่ให้การค้ำจุนคือผู้เดียวที่เป็นสิ่งค้ำจุนที่ไม่มีวันดับสูญ
อย่าได้ทำให้บุคคลใด ความสะดวกสบายทางวัตถุใด
หรือทรัพย์สมบัติที่ครอบครองเป็นสิ่งค้ำจุนของลูก
สิ่งนี้เรียกว่าการอยู่เหนือบ่วงกรรม อย่าได้ซ่อนเร้นสิ่งใด เมื่อลูกซ่อนเร้นสิ่งใด
สิ่งนั้นก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น สถานการณ์นั้นไม่ใหญ่โตอะไร
แต่ยิ่งลูกซ่อนมันมากเท่าไหร่ ลูกก็จะยิ่งเพิ่มสถานการณ์นั้นมากแค่นั้น
ยิ่งลูกพยายามพิสูจน์ตัวเองว่าถูกต้องมากแค่ไหน
ลูกก็จะยิ่งเพิ่มสถานการณ์นั้นมากขึ้น ยิ่งลูกกลับมาดื้อดึงมากแค่ไหน
ลูกก็จะเพิ่มสถานการณ์นั้นมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นอย่าได้เพิ่มสถานการณ์นั้น
แต่ให้จบสิ้นสถานการณ์นั้นในขณะที่มันยังอยู่ในรูปแบบที่เล็ก
จากนั้นก็จะง่ายและลูกก็จะมีความสุข “สถานการณ์นี้เกิดขึ้น
แต่ฉันเอาชนะมันได้และได้รับชัยชนะ” ดังนั้นลูกจะมีความสุขนั้น ลูกเข้าใจไหม?
ลูกดับเบิ้ลฟอเรนเนอร์คือผู้ที่มีความจริงจังและกระตือรือร้นที่จะได้รับสภาพที่เหนือบ่วงกรรมใช่ไหม?
ดังนั้นพ่อบราห์มากำลังให้การเลี้ยงดูที่ละเอียดอ่อนเป็นพิเศษแก่ลูกดับเบิ้ลฟอเรนเนอร์
นี่คือการหล่อเลี้ยงของความรักที่ไม่ใช่การแก้ไขหรือการสอนใด ๆ
เพราะพ่อบราห์มาสร้างลูกโดยการปลุกเรียกลูกเป็นพิเศษ
ลูกถูกสร้างขึ้นมาผ่านความคิดของพ่อบราห์มา
มีคำกล่าวว่าบราห์มาสร้างโลกด้วยความคิดของท่าน
โลกที่ใหญ่โตเช่นนั้นถูกสร้างมาด้วยความคิดของพ่อบราห์มา
ดังนั้นลูกเป็นดวงวิญญาณพิเศษที่ถูกสร้างโดยการปลุกเรียกของพ่อบราห์มา
ดังนั้นลูกจึงเป็นที่รักเป็นพิเศษใช่ไหม?
พ่อบราห์มาเข้าใจว่าลูกมีความจริงจังและกระตือรือร้นที่จะเพียรพยายามอย่างรวดเร็วและกลับมาก่อนเป็นอันดับแรก
พวกท่าน (บัพและดาดา)กำลังพูดถึงการตกแต่งทุกสิ่งเป็นพิเศษ
ด้วยคุณสมบัติพิเศษของลูกดับเบิ้ลฟอเรนเนอร์
ลูกถามคำถามแต่ลูกก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วเพราะลูกรู้คิดเป็นพิเศษ
เหตุนี้เองพ่อกำลังส่งสัญญาณให้ลูกเป็นอิสระจากบ่วงพันธะและมีความรักเหมือนท่าน
ไม่ใช่ว่าท่านกำลังบอกสิ่งนี้เพียงกับลูกที่อยู่เบื้องหน้าท่านเท่านั้น
ท่านกำลังบอกสิ่งนี้กับลูกทั้งหมด พ่อมีลูกบราห์มินทั้งหมด –
ไม่ว่าจะจากแผ่นดินนี้หรือจากต่างแดน - เบื้องหน้าท่าน อัจชะ
วันนี้บาบากำลังมีการสนทนาจากใจถึงใจ
ลูกได้รับการบอกว่าผลลัพธ์ของปีนี้ดีมากเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
สิ่งนี้พิสูจน์ว่าลูกจะเติบโตขึ้น ว่าลูกคือดวงวิญญาณที่จะเข้าไปสู่สภาพที่โบยบิน
สัญญาณที่จะกลายเป็นโยคีที่สมบูรณ์พร้อมนั้นได้มอบให้แก่ผู้ที่เห็นว่ามีค่า อัจชะ
ถึงดวงวิญญาณผู้ที่เป็นอิสระจากบ่วงพันธะของกรรมและมีโยกยุกต์อย่างสม่ำเสมอ
ถึงลูกๆผู้ที่ทำให้พ่อผู้เดียวเป็นผู้ค้ำจุนของพวกเขาอย่างสม่ำเสมอ
ถึงลูกๆผู้ที่ก้าวออกไปจากความอ่อนแอที่ละเอียดอ่อน ถึงลูกๆที่มีพลัง
ที่สามารถแยกแยะด้วยความมั่นคงและสมาธิ
ถึงลูกผู้ที่ก้าวออกไปจากสิ่งค้ำจุนที่ชั่วคราวของบุคคลหรือสิ่งของในครอบครอง
ถึงลูกพิเศษผู้ที่อยู่อย่างมั่งคงในสภาพของการได้รับการหลุดพ้นในชีวิตและสภาพที่เหนือบ่วงกรรม
ด้วยความ รัก ระลึกถึง และนมัสเต จากบัพดาดา
บัพดาดาพูดกับดาดี้นิรมาล ชานตา:
ลูกเป็นผู้ที่อยู่กับพ่อตลอดไปอยู่แล้ว
ผู้ที่ยังคงเคลื่อนไปพร้อมกับพ่ออย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มต้น -
ประสบการณ์ของพวกเขาของการเป็นมิตรร่วมทางที่สม่ำเสมอไม่สามารถลดลงได้
นี่คือคำสัญญาจากวัยเด็ก ลูกมีมิตรร่วมทางอยู่เสมอและจะเฝ้าแต่เคลื่อนไปด้วยกันเสมอ
ดังนั้นเรียกสิ่งนี้ว่าสัญญาของมิตรร่วมทางที่สม่ำเสมอหรือเรียกว่าพร ลูกได้รับแล้ว
อย่างไรก็ตามเช่นที่พ่อมาจากรูปที่ละเอียดอ่อนมาสู่รูปที่มีตัวตนเพื่อเติมเต็มความรับผิดชอบของความรัก
ในทำนองเดียวกันลูก ๆ
ก็มาที่นี่เพื่อเติมเต็มความรับผิดชอบของความรักของลูกด้วยเช่นกัน
มันเป็นอย่างนั้นใช่ไหม? ไม่ใช่แค่ในความคิด
แต่แม้กระทั่งในความฝันของลูกหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าจิตใต้สำนึก -
ในสภาพนั้นเช่นกันมิตรร่วมทางของพ่อไม่สามารถถูกทิ้งไว้ข้างหลังได้
ลูกได้สร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงเช่นนี้ เป็นความสัมพันธ์ของหลายชาติเกิด
เป็นของทั้งวงจร ในชาติเกิดนี้ที่ความสัมพันธ์ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับทั้งวงจร
เป็นเพียงแค่ในชาติเกิดสุดท้ายนี้
ลูกบางคนแยกย้ายกันไปยังสถานที่อื่นเพื่อทำงานรับใช้ เช่นที่คนเหล่านี้ไปต่างประเทศ
ดังนั้นลูกทั้งหมดจึงไปแคว้นสินธี
บางคนมาถึงสถานที่หนึ่งและคนอื่นๆมาถึงสถานที่อื่น
หากพวกเขาทั้งหมดไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศแล้วจะมีศูนย์เปิดมากมายได้อย่างไร?
อัจชะ ลูกรักษามิตรร่วมทางของพ่อไว้อยู่เสมอ
ลูกคือพาร์ดาดี้ผู้เติมเต็มความรับผิดชอบของความเป็นมิตร
บัพดาดายินดีที่ได้เห็นความจริงจังและความกระตือรือร้นที่ลูกๆ มีต่องานรับใช้
ลูกเป็นดวงวิญญาณที่ได้รับพร ดูสิตอนนี้ฝูงชนเริ่มรวมตัวกันแล้ว
เมื่อมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียงแค่ดูว่ามีฝูงชนจำนวนเท่าใด
รูปของพรของคุณสมบัติพิเศษนี้ที่ได้วางไว้เป็นรากฐาน จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมีฝูงชน?
ลูกจะให้พร ลูกจะให้ดริชตี รูปปั้นบูชาที่มีชีวิตจะโด่งดังจากที่นี่
ในตอนแรกผู้คนเคยเรียกลูกทุกคนว่า“ เทพธิดา”
ในเวลาสุดท้ายเช่นกันพวกเขาก็จะตระหนักรู้และจำลูกได้และร้องออกมาว่า: "เทพธิดา
เทพธิดา" "ขอคารวะต่อเทพธิดา ขอคารวะต่อเทพธิดา!" จะเริ่มขึ้นที่นี่ อัจชะ
พร:
ขอให้ลูกมีสิทธิ์ในกลุ่มแรกและบรรลุความสำเร็จโดยใช้วิธีการที่ถูกต้องและทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ของพระเจ้า
หนึ่งก้าวของความกล้าหาญและลูกได้รับความช่วยเหลือหลายล้านก้าว “วิธีนี้ถูกกำหนดไว้ในละครอย่างเป็นกฎเกณฑ์
หากวิธีนี้ไม่ถูกกำหนดตามกฎเกณฑ์แล้วทุกคนก็จะกลายเป็นราชาแรกของโลก
กฎเกณฑ์ของการตามลำดับกันไปนั้นเป็นเพราะวิธีนี้
แต่ละคนสามารถมีความกล้าหาญได้มากและได้รับความช่วยเหลือได้มากตามนี้
ไม่ว่าลูกจะอุทิศตนหรือเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว
ลูกก็มีสิทธิ์ที่เท่าเทียมกันและประสบความสำเร็จโดยการใช้วิธีการที่ถูกต้อง
ทำความเข้าใจกับกฎเกณฑ์ของพระเจ้านี้และจบสิ้นเกมใดๆที่ไม่มีความระมัดระวัง
แล้วลูกจะได้รับสิทธิ์ในกลุ่มแรก
คติพจน์:
กลายเป็นอวตารของความประหยัดในเรื่องที่เกี่ยวกับสมบัติที่มีค่าของความคิด